ถ้าผมจะบอกว่าเรื่องเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง สาเหตุเกิดจากเพื่อต้องการกำจัดระบอบทักษิณและเครื่อข่ายให้พ้นทาง ก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
เริ่มต้นจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล นำความขัดแย้งส่วนตัวมาโจมตีคุณทักษิณ จนมีคนหลงเชื่ออย่างมากมาย นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ซึ่งจะชี้ชัดว่านายสนธิคือสาเหตุแห่งความเลวร้าย ก็ยังไม่ถูกต้องนัก ยังใช้เป็นบทสรุปไม่ได้
จุดเริ่มต้นมันน่าจะเกิดจากการที่ทหารฉวยโอกาส ขณะที่บ้านเมืองระส่ำระสาย หลังจากนายสนธิกวนน้ำจนขุ่นแล้วมากกว่า แต่นายสนธิได้จัดรวมภายหลังจากการยึดอำนาจแล้วต่างหาก
ทหารเข้ามายึดอำนาจเองหรือ???? คงไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะ พล.อ.สนธิ หัวหน้า คมช. ก็ยอมสารภาพแล้วว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง และผิดหวังที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย
แสดงว่า สนธิ(บัง)ต้องมีใครที่มีอิทธิพลมาก ที่สามารถบีบให้ทำการยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย. 49อย่างแน่นอน ทั้ง ๆที่คุณทักษิณแต่งตั้งให้สนธิ(บัง)เป็นผบ.ทบ.มากับมือ
ทำให้สนธิ(บัง)ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนเนรคุณ และตระบัดสัตย์ที่บอกว่าจะไม่ปฏิวัติตามที่ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อ 13 ก.ย. 49 ก่อนหน้าการยึดอำนาจเพียง 6 วัน
การยึดอำนาจครั้งนั้น ผมจะขอเรียกว่า "รัฐประหารแบบเลือกข้าง" ซึ่งเป็นการยึดอำนาจแบบแหกประเภณี ซึ่งยังไม่มีใครเคยกระทำเช่นนี้มาก่อน
นั่นคือเมื่อยึดอำนาจแล้วไม่จัดทหารมากุมอำนาจไว้เอง แต่นำไปแจกจ่ายให้คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับระบอบทักษิณทั้งสิ้น
อันประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจนอกราชการ นักวิชาการ พรรคการเมือง ข้าราชการตุลาการ และพลเรือนสายพันธมิตร
การแตกความสามัคคี แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงเริ่มขึ้น ณ. จุดนี้เป็นปฐมเหตุ แล้วรัฐบาลคมช. ก็ใช้กลุ่มคนดังกล่าว เริ่มทำการกวาดล้างระบอบทักษิณและเครือข่ายแบบถอนรากถอนโคน
โดยการแต่งตั้งองค์กรอิสระต่างซึ่งเป็นปรปักษ์กับทักษิณ เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่เพื่อให้สอดคล้องในการกำจัดทักษิณให้สูญหายหมดไปจากแผ่นดิน แต่เอื้ออำนวยกับพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งที่เป็นฝ่ายเดียวกัน
แม้แต่เรื่องเขาพระวิหารที่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ก็พยายามลากโยงให้เป็นการเมืองถายใน เพียงเพื่อล้มรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามในสมัยนั้น
พยายามตีความว่า แถลงการณ์ร่วมคือสนธิสัญญา ผิดมาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญ 50 ที่ คมช.เขียนไว้อย่างไม่ละอายและขาดความรับผิดชอบ ด้วยการเพิ่มคำว่า "อาจจะ" ที่ไม่ได้เขียนไว้ใน รธน.
พรรคการเมืองที่กล่าวถึงแต่ต้นนั้นก็คือ พรรค ประชาธปัตย์ ที่ลากโยงเรื่องเขาพระวิหารเข้าสู่สภา โจมตีสารพัดเพื่อกำจัดรัฐบาลคุณสมัครจนตกขอบพังครืนลง กำจัดเครือข่ายระบอบทักษิณได้สมใจ
ต่อด้วยรัฐบาลนายสมชาย ซึ่งอยู่เพียงชั่วครู่ก็มีอันต้องเป็นไปด้วย อีกรัฐบาลหนึ่ง ด้วยอาศัยองค์กรอิสระและตุลาการภิวัฒน์ที่รัฐบาลคมช.ทิ้งไว้ให้
ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงเป็นเพราะการ "หวงอำนาจ" ของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ซึ่งเราเรียกอำนาจมืดนั้นว่า "มือที่มองไม่เห็น"
แม้รัฐบาลปัจจุบันที่กล่าวกันว่าตั้งในค่ายทหาร ก็จะต้องมีคนคอยชักใยสั่งการอยู่เบื้องหลัง รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเป็นเพียง"รัฐบาลหุ่นเชิด" ที่ไม่เคยมีความคิดของตนเองแม้แต่ครั้งเดียว
ทหารที่ถืออาวุธเป็นเครื่องต่อรอง คอยกดดันฝ่ายตรงข้าม คือเครื่องมือและเป็นตัวจักรสำคัญ ที่คอยค้ำประกัน และคอยปกป้องอำนาจไม่ให้เปลี่ยนมือ ไปอยู่กับฝ่ายตรงกันข้าม
แม้แต่การประหัตประหารกัน 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ก็เป็นเครื่องชี้ว่าการหววงแหนอำนาจนั้นสำคัญมากน้อยเพียงใด แม้คนในชาติบาดเจ็บล้มตายมากก็ต้องยอมแลกมา
การสืบหาคนกระทำความผิด ถ้าเป็นฝ่ายอำนาจมืดหรือพวกพ้องเป็นฝ่ายกระทำ จะหยุดนิ่งไม่คืบหน้า แต่ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามจะรีบดำเนินการโดยไว เพราะอำนาจทั้งหมดได้ถูกครอบครองได้ครบวงจรแล้ว
เมื่อการกำจัดศัตรูด้วยการลากโยง มารา190 เป็นผลสำเร็จในเบื้องต้น แต่ผลที่ตามมาคือการกระทบกระทั่งกับเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยปราศจากการเจรจาที่จริงจัง
ไม่มีสงครามใดที่ปราศจากการเจรจา แต่การเจรจาต้องสะดุดติดขัดเพราะความผิดพลาดในการแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็น รมว.ต่างประเทศ
เมื่อไม่มีการเจรจา สถานการณ์การขัดแย้งจึงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีผู้บาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง และอาจเลวร้ายเข้าสู่สงครามใหญ่ระหว่างประเทศ ถึงขั้นประกาศสงครามกัน ก็อาจเป็นได้
มีใครเคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไม นายกษิต ภิรมย์ จึงยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวาระสุดท้ายกระทั่งรัฐบาลยุบสภา การปรับครม.ที่กระทำมาแล้ว 5ครั้ง ไม่มีรายชื่อนายกษิต ติดโผแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งพลิกความคาดหมายอย่างน่ากังขา
เป็นความผิดพลาของนายอภิสิทธิ์หรือ ?? ไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะผมเกริ่นแต่ต้นว่า รัฐบาลนี้คือ"หุ่นเชิด" ไม่เป็นตัวของตัวเอง ยังมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังอีกทอดหนึ่ง
เมื่อไล่ความสัมพันธ์จากนายกษิตเรื่อยขึ้นไปจะเห็นว่า นายกษิตเป็นลูกเขยของนาย หน้าแหลมฟันดำ และนายหน้าแหลมฟันดำนั้นใกล้ชิดกับใคร??? ก็จะรู้ว่าใครคือ"มือที่มองไม่เห็น"
ตอนนี้คงทราบกันแล้วว่า ใครคือเสนาธิการหัวแหลมแกมโกง ที่วางแผนชั่วร้ายมาตั้งแต่ต้น ใครคือคนร่างรัฐธรรมนูญ 50 หากสงสัยให้ย้อนไปตอนที่ตั้ง สสร. สมัยรัฐบาลคมช.ดูก็จะเห็นชัดเจน
เพราะฉะนั้น เรื่องเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศคือ.......
"มือที่มองไม่เห็นหรือ invisible handจะ เป็นใครอื่นไปไม่ได้เลย"
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 54 16:25:38