หาจากข่าวนสพ.นะ
เรื่องแรก
ศาลพิพากษาหนักสุดในคดีฮั้ว ให้จำคุก'ประชา โพธิพิพิธ'5ปี ส่วนภรรยากับพวกจำคุกคนละ 4 ปี
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา วันนี้ ศาลอาญามีคำพิพากษาคดี ที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีพิเศษ2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี๊ยะ อดีตส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ นางเขมพร ต่างใจเย็น ภรรยานายประชา นางสาว วรรณา ล้อไพบูลย์ เลขานุการของนางเขมพร และนายถวิล สวัสดี เลขานุการส่วนตัวของนายประชา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 ถึง 4 ในความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ หน่วงเหนี่ยวกักขัง ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542
2.
เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้นายทศพร เทพบุตร สามีนางอัญชลี
วานิช เทพบุตร นายก อบจ.ภูเก็ต ให้ออกจากพื้นที่ สปก. 4-01 บริเวณหาดนุ้ย เทือกเขานาคเกิด ต.กะรน
อ.เมืองภูเก็ต เนื้อที่ 98 ไร่เศษ กระทั่งรายสุดท้ายคือนายบุ่นเก้ง ศรีแสนสุชาติ
ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงของจังหวัดภูเก็ตทั้งสิ้น
3.
ฉาวหนัก'สหโกง'ปชป. ดูดงบ 15 ล้านทำสหกรณ์ สมาชิกพวกพ้องฟันกำไร
(ไทยโพสต์ 6 ต.ค. 43)
สหกรณ์-สหโกง ส.ส.ประชาธิปัตย์เอา งบประมาณแผ่นดิน 115 ล้านบาทไปลงทุนทำสหกรณ์ สุราษฎร์ธานี แสวงหาผลกำไร ให้สมาชิกซึ่งเป็น พ่อค้านักธุรกิจ นักการเมือง
สหกรณ์สุราษฎร์ธานี จำกัด นอกจากจะตกเป็นข่าวอื้อฉาว เนื่องจากพบว่ามีรัฐมนตรีหลายคน ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาเข้าไปถือหุ้นแล้ว เอกสารรายงานการดำเนินการของสหกรณ์ดังกล่าวยังพบความไม่ชอบมาพากล ในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินผ่าน ส.ส.สุราษฎร์ธานี ของนายบัญญัติ บรรทัดฐาน, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, นายชุมพล กาญจนะ, นางนิภา พริ้งศุลกะ, นายประวิช นิลวัชรมณี และนายธวัช วิชัยดิษฐ ที่ผูกขาดเป็น ส.ส.มาโดยตลอดจนปัจจุบัน ยกเว้นนายธวัชที่เสียชีวิตไปแล้ว
ตามเอกสารรายงานของสหกรณ์พบว่า สหกรณ์สุราษฎร์ธานี เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2539 โดยมีสมาชิกแรกตั้ง 173 คน ถือหุ้น 17,600 หุ้น หุ้นละ 10 บาท หรือก่อตั้งด้วยเงินเพียง 1.7 แสนบาทเท่า นั้น แต่เพียง 4 ปีกลับมีสินทรัพย์ถึง 608,905,915 บาท เป็นทุนเรือนหุ้น 191,256,010 บาท จากสมาชิก 11,865 คน โดยผู้ถือหุ้นจำนวนมาก ได้แก่ นายวัฒนา อัศวเหม 10 ล้านบาท, นางราศรี บัวเลิศ 15 ล้านบาท, นายสนธยา คุณปลื้ม 3 ล้านบาท, นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ฯลฯ..........
4.
นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปี 2536-37 กำลังจะถูกหมายเรียกตัวในข้อหาพัวพันทุจริตการขายยางพารา และยังมีอดีตรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายชัชวาลย์ สุกิจจวนิช ที่ถูกหมายจับไปก่อนหน้านี้แล้ว และอยู่ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ พ่วงเข้ามาด้วย
ปมที่กรณี คาเน่ เทรดดิ้ง เกี่ยวข้องก็คือ
เป็นบริษัทที่ถูกสร้างขึ้นมาบังหน้าการซื้อขาย หรือที่เรียกว่า บริษัทกระดาษ หรือ Paper Company
การตรวจสอบพบตามเอกสารสัญญาซื้อขายที่บอกว่า บริษัทตั้งอยู่ที่แฟลต บี. ชั้น 4 อาคารการ์เด้นแมนชั่น เลขที่ 154-156 ถนนออสติน เกาลูน ฮ่องกง แม้จริงแล้วไม่มีอยู่จริง
เมื่อไม่มีอยู่จริงก็ย้อนมาดูที่สัญญาซื้อขาย
พบว่า ไม่มีการเปิด L/C โอนเงินผ่านบัญชีธนาคารโดยตรง แต่มอบหมายให้ บริษัทค้ายางในประเทศไทย คือ ทองไทยรับเบอร์ เป็นผู้ดำเนินการแทนทั้งหมดรวมถึงการขนสินค้าลงเรือ
และเมื่อย้อนไปดูที่ระเบียบปฏิบัติ พบว่า มีมติครม.ไม่ให้ขายยางพาราตามโครงการแทรกแซงให้กับบริษัทค้ายางในประเทศไทย เพราะเกรงว่าจะรอซื้อราคาถูกจากยางในสต๊อกที่รัฐเก็บไว้ให้ ไม่ยอมไปไล่ซื้อจากรายย่อยในตลาดจริง
ข้อสังเกตที่ว่า เอื้อให้เอกชนไทยรายหนึ่งซื้อยางถูกโดยผิดระเบียบโดยนิติกรรมอำพรางก็เกิดขึ้น
และสุดท้ายให้สังเกตวันที่ทำสัญญาซื้อขายล็อตสุดท้าย 20 มกราคม 2537 ให้ดี
เพราะนี่เป็นการทำสัญญาหลังจากคณะของนายจุรินทร์ และนายชัชวาลย์ เดินทางไปเจรจาซื้อขายยางกับ บริษัทฉางอัน ที่เมืองไทเป ไต้หวัน กำหนดเดินทาง 14-18 มกราคม 2537
ใครกลับมาเมืองไทย ใครแวะฮ่องกงเพื่อเจรจาความกับบริษัทกระดาษที่ไม่มีตัวตน หนังสือบันทึกของตรวจคนเข้าเมืองได้บันทึกเอาไว้ !!?
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=4564675881265
5.
ทุจริตรถไฟรางคู่
............แฉเรื่องแดงสมัยรัฐบาลชวน
..................โครงการรถไฟรางคู่ จากการตรวจสอบพบว่าโครงการมีการทุจริตจริงทำให้รัฐเสียหาย 3-4 พันล้านบาท ขณะนั้นโครงการดังกล่าวอยู่ในช่วงของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรมช.คมนาคม กำกับดูแลการรถไฟในขณะนั้น ภายหลังการตรวจสอบตนเองจึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังกระทรวงคมนาคมที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รองนายกฯดำรงตำแหน่งรมว.คมนาคมอีกทั้งการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎรก็สรุปชัดเจนว่าโครงการรถไฟรางคู่มีความผิดจริง ขณะนั้นพูดเพียงว่าโครงการนี้ส่อไปในทางทุจริตแต่ไม่ได้บอกว่านายประดิษฐ์โกงจากนั้นนายประดิษฐ์ ก็ฟ้องศาลจังหวัดพิจิตร แต่มีการถอนฟ้องในภายหลังเพราะตนเองได้ยืนยันว่าไม่ได้พูด ดังนั้นหากมีการสืบพยานก็จะฟ้องกลับ...............
จะเอาเพิ่มอีกบ่