Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
@@@ อีกครั้งกับความหมายของ "อภิสิทธิ์ชน" และ "สามัญชน" โดย ปรีดี พนมยงค์ @@@{แตกประเด็นจาก P10534986} ติดต่อทีมงาน

เพื่อเสริมสิ่งที่คุณ ต้นเอง  อธิบายในกระทู้

คัดลอกมาจาก  "ประชาธิปไตยเบื้องต้น"  สำหรับสามัญชน (คลิ๊ก)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

-๓-

ความเป็นมาของ  “สิทธิและหน้าที่มนุษยชน”และ  อภิสิทธิ์ชนกับมวลชน

(๑)    ในยุคดึกดำบรรพ์ตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ขึ้นในโลกนั้น  มนุษย์รวมกันอยู่เป็นหมู่คน  ซึ่งมีหัวหน้าปกครองอย่างแม่พ่อปกครองลูก  ไม่มีการกดขี่เบียดเบียนระหว่างกัน เช่นพ่อแม่ปกครองลูกนั้น  พ่อแม่มิได้เบียดเบียนลูก  ชนในหมู่คนนั้นมีเสรีภาพเสมอภาคกันและมีสำนึกในหน้าที่ว่าหมู่คนของตนจะดำรง อยู่ได้นั้นแต่ละคนจะต้องใช้เสรีภาพมิให้เป็นที่เสียหายแก่คนอื่นและแก่หมู่ คน  สิทธิและหน้าที่มนุษยชนจึงเป็นไปตามธรรมชาติประจำอยู่กับมนุษย์ตั้งแต่มี มนุษย์ขึ้นในโลก  ปวงชนของหมู่คนนั้นจึงมีแต่สามัญชนจำพวกเดียว แบบการปกครองเป็นไปอย่างประชาธิปไตยสมบูรณ์

            หมู่คนชนิดนี้ยังมีซากตกค้างอยู่บ้างในสมัยพุทธกาล  เช่นสักกะชนบท และในสมัยรัชกาลที่  ๕  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ไปตรวจราชการภาคอีสานก็ได้ทรงพบว่ามีชนบทหนึ่งซึ่งมีซากหมู่คนชนิดนี้แต่ ปัจจุบันหมดไปแล้ว

(๒)      กาลต่อมาได้มีการปกครองแบบทาสขึ้น  คือชนส่วนน้อยจำนวนหนึ่งในหมู่คนใช้อำนาจถือเอาแผ่นดินเป็นที่ตั้งหมู่คน นั้นเป็นของตน  และถือว่าชนส่วนมากเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งของตน  ซึ่งตนมีอำนาจเฆี่ยนตีเข่นฆ่าได้เหมือนสัตว์พาหนะ  ชนจำนวนน้อยนั้นจึงเป็นเจ้านายยิ่งใหญ่ เป็น  “อภิสิทธิ์ชน”  ซึ่งมีอำนาจและสิทธิเด็ดขาดเหนือชนส่วนมากที่เป็น  “สามัญชน”  ๆ  ถูกตัดสิทธิมนุษยชนโดยมีแต่หน้าที่จำต้องทำงานอย่างสัตว์พาหนะให้แก่  “อภิสิทธิ์ชน”  สามัญชนจึงมีสภาพตามที่ภาษาไทยเดิมเรียกว่า  “ข้า”  ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า  “ทาสา”  ซึ่งแผลงเป็นภาษาไทยว่า  “ทาส”

            ตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นต้องการเสรีภาพและความเสมอภาคอันเป็นสิทธิของมนุษย ชน  แม้  “อภิสิทธิ์ชน”  มีอำนาจเฆี่ยนตีเข่นฆ่า  แต่มนุษย์ก็ต้องการหลุดพ้นจากการถูกกดขี่บีบคั้น  เราย่อมเห็นได้ว่าสัตว์เดรัจฉานที่คนจับมาใช้งานก็พยายามดิ้นรนที่จะเป็น อิสระ  อภิสิทธิ์ชนจึงคิดวิธีเพิ่มเติมประกอบอำนาจของตนขึ้นมาอีกวิธีหนึ่ง  คือทำให้  “ข้า”  หรือ  “ทาส”  หลงเชื่อว่าเจ้าใหญ่นายโตที่มีอำนาจยิ่งใหญ่นั้นได้ก็เพราะเป็นคนมีบุญผู้ ที่พระเจ้าบนสวรรค์ได้ส่งเทวดาให้มาจุติเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปกครองปวงชน

(๓)       ครั้นต่อ ๆ มาได้มีการปกครองแบบศักดินาขึ้น  คืออภิสิทธิ์ชนได้ปรับปรุงแบบการปกครองทาสให้ทำงานเพื่อประโยชน์ของ อภิสิทธิ์ชนได้ผลยิ่งขึ้นตามเครื่องมือหัตถกรรมที่พัฒนาขึ้นและตามการ บุกเบิกและหักร้างถางพงในแผ่นดินกว้างใหญ่ให้เป็นที่นากว้างขวางขึ้น  จึงจำต้องให้  “ข้า” หรือ  “ทาส”  ออกไปอยู่ห่างไกลจากเคหสถานของ  “อภิสิทธิ์ชน”  ผู้เป็นเจ้าของ  อภิสิทธิ์ชนจึงต้องมีบริวารช่วยควบคุมข้าทาสและตั้งให้บริวารเหล่านี้มี ฐานันดรศักดิ์อันดับต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนมี  “ศักดิ์”  คิดตามเนื้อหาที่นา  ฐานันดรศักดิ์นี้จึงเรียกว่า  “ศักดินา”

            ส่วนสามัญชนซึ่งเป็นคนจำนวนมากนั้นในสาระคงมีสภาพเป็น  “ข้า”  แต่มีคำใหม่เรียกว่า  “ไพร่”  โดยที่สามัญชนเข้าใจสาระของไพร่ว่าเป็น  “ข้า”  ชนิดหนึ่ง  ฉะนั้นจึงเรียกสามัญชนในสมัยศักดินาว่า  “ข้าไพร่”  ซึ่งมีความเป็นอิสระดีกว่าทาสบ้าง  แต่ทาสก็ยังไม่หมดสิ้นไปในสมัยศักดินา

            ความหลงเชื่อว่าอภิสิทธิ์ชนเป็นเทวดาที่มาจุติในโลกมนุษย์ก็ยังคงฝังอยู่ในจิตใจของสามัญชน

 

(๔)       ต่อมาในประเทศยุโรปได้มีผู้คิดทำเครื่องจักรกลใช้กำลังไอน้ำได้สำเร็จ  จึงได้มีนายทุนเจ้าของโรงงานสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องจักรกลสมัยใหม่ผลิตสิ่ง ของและพาหนะการขนส่ง  ฯลฯ  แทนแรงคนและแรงสัตว์พาหนะ  นายทุนเจ้าของโรงงานจำเป็นต้องใช้ลูกจ้างที่มีความรู้ความสามารถใช้เครื่อง จักรกลสมัยใหม่  ในการนั้นจำเป็นต้องให้คนงานมีเสรีภาพจึงจะมีกำลังใจใช้เครื่องมือสมัยใหม่ ให้ได้ผลอย่างยุโรปตะวันตกโดยมีรัฐธรรมนูญเขียนเป็นกฎหมายให้สามัญชนหมดสภาพ เป็น  ”ข้าไพร่”  และให้มีสิทธิมนุษยชนเสมอภาคกับนายทุน  แต่ในทางปฏิบัตินั้นนายทุนได้เปรียบเพราะอาศัยทุนใช้จ่ายเพื่อใช้สิทธิมนุษย ชนของตนได้มากกว่าสามัญชน

            นายทุนยุโรปส่วนที่สะสมทุนไว้ได้มหาศาลจึงเป็นนายทุนยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่ง เรียกว่า  “จักรวรรดินิยม”  นั้นได้แผ่อำนาจไปยังอเมริกา  ญี่ปุ่น  แล้วก่อให้เกิดนายทุนจักรวรรดินิยมอเมริกันและญี่ปุ่นขึ้น  พวกนายทุนมหาศาลเหล่านี้ได้แผ่อำนาจเข้ามาในประเทศด้วยพัฒนาซึ่งรวมถึง ประเทศไทยด้วย รัชกาลที่  ๕  ได้ทรงประกาศยกเลิกการปกครองทาส  แต่การปกครองแบบศักดินายังมีอยู่  ชนชาวไทยปัจจุบันจึงมีฐานะและวิธีครองชีพต่าง ๆ กันมากมายหลายชนชั้นวรรณะตามวิธีศักดินาและวิธีนายทุนสมัยใหม่  เราเห็นได้แก่นัยน์ตาของเขาเองว่า  ภายในปวงชนปัจจุบันนี้มีคนไร้สมบัติต้องเป็นลูกจ้างของนายทุน  ชาวนา ชาวประมง  ชาวสวน  ชาวไร่  ช่างฝีมือ  ผู้ทำมาหากินโดยแรงงานของตนเอง  บุคคลส่วนมากดังกล่าวแล้วอัตคัดขัดสน  ส่วนน้อยมีรายได้พอทำพอกิน  มีชนผู้มีทุนน้อยรายได้พอทำพอกิน  มีคนชั้นกลางรายได้ปานกลางพอมีเหลือเก็บสะสมได้  มีนายทุนรายได้ค่อนข้างมาก มีนายทุนใหญ่มหาศาลรายได้มากมายล้นเหลือเนื่องจากอาศัยทุนมหาศาลสมัยใหม่และ รับช่วงทุนมหาศาลศักดินา

            เราอาจจัดชนจำพวกปลีกย่อยต่าง ๆ ภายในปวงชนไทยตามจำนวนส่วนข้างน้อย และส่วนข้างมากเป็น  ๒ ประเภทใหญ่ ๆ

            ก.”อภิสิทธิ์ชน”  คือชนจำนวนส่วนข้างน้อยที่สุดของปวงชนได้แก่  นายทุนยิ่งใหญ่มหาศาล  เนื่องจากสะสมทุนสมัยใหม่และรับช่วงสมบัติศักดินา  มีฐานะดีที่สุดยิ่งกว่าคนจำนวนมากในชาติ  อภิสิทธิ์ชนหมายความรวมถึงสมุนที่ต้องการรักษาอำนาจและสิทธิของอภิสิทธิ์ชน ไว้

            ข.”สามัญชน”  คือชนจำนวนส่วนมากที่สุดของปวงชน  ประกอบด้วยชนทุกฐานะและอาชีพที่ไม่ใช่ประเภทอภิสิทธิ์ชน

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จากคุณ : Springfield
เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 14:22:32 A:125.24.196.97 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com