Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เอามาแปะให้ "ผู้เจริญ" ทั้งหลายอ่านเล่นไปงั้น เพราะรู้ดีว่า "พวกโชว์โง่" มันอ่านหนังสือไม่เป็น ติดต่อทีมงาน

ณัฐวุฒิ  ไสยเกื้อ  ถอดรหัส "ไพร่"

มีนาคม 2553

ผมพูดเรื่องไพร่ เรื่องชนชั้นครั้งแรกที่เวที จ.นครราชสีมา เมื่อต้นเดือน มี.ค. 2552 ก่อนเดือน เม.ย.เลือด พอวันรุ่งขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร)  โทรศัพท์มาถามผมเฮ้ย ณัฐวุฒิ คุณพูดเรื่องอะไรไป ผมก็บอกว่าเปล่านี่ครับ ก็ปราศรัยธรรมดา แต่พูดเรื่องชนชั้นนิดหน่อย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าคุณรู้มั้ยว่าสิ่งที่คุณพูดมีนักวิชาการสำคัญอีเมล์มาหาผม มันใช่มาก ถ้าณัฐวุฒิ พูดแบบนี้ คนเสื้อแดงจะเพิ่มขึ้นมหาศาล จากนั้นที่ จ.ระยอง ผมก็พูดอีก ท่านทักษิณ ก็นั่งฟัง พอไปที่ จ.อ่างทอง คราวนี้ผมยกเรื่องรามเกียรติ์มาเปรียบเทียบว่าทศกัณฐ์ ที่คนมองว่าเป็นฝ่ายอธรรม ต้องแพ้พระราม ที่อยู่ฝ่ายธรรมะนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ เหตุผลที่ทศกัณฐ์พ่ายแพ้เพราะไปสู้รบกับชนชั้นสูงจึงถูกกลุ้มรุมทำร้ายในที่สุด

สิ่งที่ทำให้คิด คำว่า "ไพร่-อำมาตย์" เริ่มต้นมาจากผมพิจารณาปรากฏการณ์การต่อสู้ครั้งนี้แล้วพบว่าเราไม่ได้กำลังต่อสู้กับรัฐบาล มันไม่ใช่เรื่อง "ทักษิณ" "อภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ประชาธิปัตย์ หรือ ไทยรักไทย แต่คำถามใหญ่ของสังคมไทยคือใครควรจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคมไทย ก่อนการรัฐประหารมีหลายคน หลายอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่ทหารกลุ่มเดียว มีกลุ่มพันธมิตรฯ ทำทาง พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) เดินสายใส่เครื่องแบบบรรยาย มีองค์กรอิสระทำงานให้ ศาลตุลาการทำอะไรแปลกๆ เราก็ตกใจว่าทำไมรัฐบาลพรรคเดียวที่มี 377 เสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เหมือนตกอยู่ในวงล้อมของอะไรสักอย่าง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ไม่น่าจะมีอะไรล้มรัฐบาลได้

ยิ่งผมมาอยู่ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยิ่งรู้ว่ารัฐบาลขับเคลื่อนกลไกของรัฐไม่ได้เลย ง่อยเปลี้ยเสียขา เป็นอัมพาตไปหมด พอมาเป็นเสื้อแดง ผมพูดเรื่อง "อำมาตยา" ชัดเจนที่สุด ต้นเดือน มี.ค. ที่เวที จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนช่วงเดือน เม.ย.เลือด ทำให้เป้าอยู่ที่ "พล.อ.เปรม" วาทกรรมอำมาตยาก็เริ่มเคลื่อนตัวมา

ส่วนที่ว่าอะไรเป็นตัวชี้วัดว่าใครเป็น "ไพร่" ใครเป็น "อำมาตย์" นั่นคือรูปการณ์จิตสำนึก จิตสำนึกของไพร่ต้องยอมรับในความเสมอภาคและเท่าเทียม ไม่ดำรงชีวิตแบบอภิสิทธิ์ชน ไม่ใช้โอกาสที่ดีกว่าไปเบียดบังคนอื่นที่ด้อยกว่า ไพร่คือประชาชนธรรมดาที่เคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

อาจจะถามว่า คุณทักษิณ ก็เคยเข้าหา รสช. ที่มาจากรัฐประหาร และได้ทำให้ "ทักษิณ" ได้สัมปทานธุรกิจดาวเทียมก็เป็นจิตสำนึกอำมาตย์ แต่ผมคิดว่า ในวันนั้น "ทักษิณ" เป็นนักธุรกิจ สิ่งที่คิดผลกำไร เมื่อเห็นคณะปฏิวัติจึงเข้าไปหา ในสายตาผมจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ผมไม่ใช่นักอุดมคติแต่เป็นนักมองความจริง เพราะธุรกิจก็ทำแบบนี้ ไม่ใช่แค่ทักษิณ นายทุนใหญ่ๆ ก็ยืนข้างคนมีอำนาจทั้งนั้น แต่สิ่งที่เราดูคือคุณทักษิณในวันที่เป็นนักการเมืองเขาทำอย่างไรมากกว่า ทำไมสังคมไม่ตั้งคำถามบ้างว่าทำไมนายอภิสิทธิ์ ถึงต้องเอาดอกไม้ไปให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้สมรู้ร่วมคิดในการยึดอำนาจ

ขณะที่วันที่คุณทักษิณเป็นนักการเมืองก็เข้าพบ พล.อ.เปรม จะเป็นส่วนหนึ่งของรูปการณ์จิตสำนึกอำมาตย์ใช่หรือไม่ ผมคิดว่า แรกๆ ก็จริง แต่สุดท้ายเมื่อพบว่าไม่ใช่ เขาก็ปฏิเสธ และเลือกที่จะหันมาสร้างความแข็งแรงเติบโตให้แก่ประชาชน เส้นทางชีวิตของคนตอนเป็นสิ่งหนึ่งทำอะไร และตอนเป็นอีกสิ่งหนึ่งทำอะไร

ที่ถามว่าถ้าทักษิณ ไม่ขัดแย้งกับ พล.อ.เปรม ก็คงไม่มาเป็นไพร่ในแบบที่คนเสื้อแดงกำลังพูดถึง ผมเห็นว่า สิ่งที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.เปรม ขัดแย้งกันไม่ใช่ตัวตนของทั้งสองฝ่าย แต่สิ่งที่ "ทักษิณ" ทำกับสิ่งที่ พล.อ.เปรม อยากให้เป็นมันไปด้วยกันไม่ได้ "ทักษิณ" ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน และใช้อำนาจการบริหารที่เขาได้มาสร้างความเติบโตให้ชาวบ้านอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ชนชั้นสูงมองว่าถ้าปล่อยให้ "ทักษิณ" ทำไปเรื่อยๆ ชนชั้นสูงกับชนชั้นล่างแคบลงๆ ต้องการให้มีคนจนไว้เพื่อให้เขาได้มีคนรวย ต้องการมีคนต่ำต้อยเอาไว้เพื่อให้เขาเป็นคนยิ่งใหญ่

ขณะที่ในประวัติศาสตร์กรณีคล้าย "ทักษิณ" ก็เคยมี ปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นผลผลิตแห่งไพร่ที่ต้องการให้ไพร่ด้วยกันเติบโต มีเค้าโครงเศรษฐกิจ แต่ชนชั้นสูงไม่เอาด้วยก็ต้องไป เพราะบังอาจจะทำให้ไพร่เติบโต ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ก็ต้องไป ไหนจะ จิตร ภูมิศักดิ์ เปลือง วรรณศรี กุหลาบ สายประดิษฐ์ อัศนี พลจันทร์ สังคมไทยสูญเสียคนเหล่านี้ไปเพราะความคิดของคนเหล่านี้ต้องการจะผลักดันเพื่อนร่วมชนชั้นให้เติบโตขึ้น

ส่วนที่ถามว่า "ทักษิณ" เป็นเศรษฐี มีชีวิตหรูหราเป็นอำมาตย์ด้วยหรือไม่ ผมเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไพร่ แต่เป็นไพร่ที่มีพลังในทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง แล้วต้องการทำให้ไพร่ด้วยกันลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ แถมมีสมอง มีความฉลาดก็ร่ำรวยขึ้นมา แต่ไม่ได้ลืมความเป็นไพร่ มันถึงอยู่ไม่ได้ ความ "รวย" ความ "จน" ไม่ได้เป็นตัวชี้ขาดว่าใครเป็น "อำมาตย์" หรือเป็นไพร่ คนจนอย่างคุณชวน หลีกภัย สร้างภาพเป็นคนจน แต่ภูมิใจที่ได้ไปอยู่ในร่มเงาของอำนาจอำมาตย์ คนอย่างนี้ไม่ศรัทธาในอำนาจของประชาชน คนจนจริงๆ จะไม่มีทางเป็น "อำมาตย์" ได้

จากคุณ : ตระกองขวัญ
เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 07:50:33 A:118.172.76.217 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com