รวมทั้งสารพัดเหล่ากูรูทั้งหลาย ที่พวกเอ็งออกมาวิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์หรือวิแคะอะไรของพวกเอ็งนั้น พวกเอ็งเคยรับผิดชอบบ้างหรือเปล่าฟ่ะ มาดูพวกเอ็งวิเคราะห์ดิ
ถึงแม้เลือกตั้งก็ไม่ใช่การแก้ปัญหา ความวุ่นวายก็จะมีต่อไป เพราะความขัดแย้งมันฝังลึก ถึงแม้พรรคเพื่อไทยได้เสียงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล
นี่คือความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ของพวกเอ็งเหลือเกินนะ แต่พวกเอ็งกลับไม่เคยเสนอทางออกให้กับประเทศสักครั้งเดียว แล้วอย่างนี้จะให้ข้าฯให้เกียรติพวกเอ็งในฐานะนักวิชาการได้อย่างไร จริงมะ?
ยังจำได้สมัยก่อนโน้น ก็พวกเอ็งไม่ใช่หรือที่พากันออกมาพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง ทำให้ประชาธิปไตยในตอนนั้นถูกพวกเอ็งนี่แหละบิดเบือน จนเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการขับไล่รัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ
พวกเอ็งออกมาพูดถึงการได้เสียงข้างมากว่า เป็นเผด็จการรัฐสภา ข้าฯยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้เลยนะว่า การที่ประชาชนชื่นชอบพรรคการเมืองที่ทำประโยชน์ให้กับพวกเขา แล้วพวกเขาพากันเลือกเข้ามาด้วยเสียงมากมาย เป็นความผิดของพรรคการเมืองอย่างนั้นหรือ?
แต่ที่ขัดใจข้าฯเป็นอย่างยิ่งก็คือ ยามเกิดรัฐประหาร ไม่รู้ตอนนั้นพวกเอ็งหายหัวไปไหนกันหมด ยามจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร พวกเอ็งเห็นว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างนั้นหรือ? ยามพวกเขาแจกงบกันอย่างแหลกลาญ ใช้เวลาพิจารณาแต่ละวาระเพียงไม่กี่นาที ก็ผ่านโครงการต่างๆเป็นหลักแสนล้าน แบบนี้เผด็จการรัฐสภายังไม่เคยทำ พวกเอ็งก็ยังเงียบอีก อยากรู้นักเชียว พวกเอ็งกำลังเป่าอะไรกันอยู่เหอ
พวกเอ็งพูดมาว่าประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง ก็จริงอยู่ แต่พวกเอ็งไม่ยอมพูดให้หมด เพราะแม้ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่ประชาธิปไตยทั้งหลายในโลกนี้ก็ต้องเริ่มต้นจากการเลือกตั้งก่อน เพื่ออะไรรู้ไหม ก็ต้องการใช้เสียงส่วนใหญ่ในการตัดสินความคิดเห็นต่างที่เกิดขึ้นในหมู่ชนที่รวมตัวกันไงล่ะ นี่จึงเป็นระบอบที่ทั่วโลกเขายอมรับว่าดีที่สุดไงว้อย รู้ไว้เสียบ้าง
ดังนั้นต้นตอของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายปี พวกเอ็งก็มีส่วนทำให้สังคมเป็นแบบที่เห็น แต่พวกเอ็งก็ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบ ยังออกมาพูดกันแจ้วๆอยู่ได้ ข้าฯรำคาญพวกเอ็งจริงๆว่ะ
ก็ดูสิว่า การจัดตั้ง ส.ว. พวกเอ็งก็เฉย การรู้ว่าใครจะเป็นประธาน ส.ว. ก็รู้กันตั้งแต่ประธานยังไม่ได้เป็นส.ว. พวกเอ็งก็เฉย การเตรียมตัวรวมตัวเป็นรัฐบาลสวิงกิ้ง โดยที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง พวกเอ็งก็เฉยอีก แล้วอย่างนี้มันเป็นประชาธิปไตยตรงไหนฟ่ะ การไม่รับรู้กับความต้องการของประชาชนอย่างนี้ เอ็งรู้ไม่ใช่หรือว่า นี่จึงเป็นต้นตอของความแตกแยกอย่างแท้จริง ทีเรื่องอย่างนี้พวกเอ็งไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นบ้าง
สำหรับเรื่องพรรคไหนได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลเสมอไป ขอเพียงแต่พรรคไหนรวมตัวเป็นเสียงข้างมาก ก็เป็นรัฐบาลได้ นี่ก็อีกหนึ่งตัวอย่างของความบิดเบี้ยวของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่พวกเอ็งไม่ยอมออกมาแสดงความคิดเห็น เอ็งลองคิดดูง่ายๆสิว่า สมมุติพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียง 240 เสียง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวไม่ได้ แล้วให้พรรคอันดับสองไปรวมกับพรรคอื่นตั้งรัฐบาลด้วยคะแนนเสียง 260 เสียง อย่างนี้ประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ก็คงเหมือน 2 ปีที่ผ่านมา ใครจะทำอะไรก็ได้ พรรคแกนนำก็ไม่กล้าว่าอะไร แถมยังต้องคอยเอาใจกันอย่างสุดฤทธิ์ ดังที่พวกเอ็งก็เห็นกับตามาแล้วไม่ใช่หรือ?
พวกเอ็งไม่เคยคำนึงว่า การที่ประชาชนเทเสียงให้กับพรรคใดพรรคหนึ่งนั้น เพราะอยากให้พรรคนั้นเป็นรัฐบาล อยากให้คนที่พรรคนั้นเสนอตัวมาเป็นนายกฯ ดันคิดแต่ว่ากฎหมายไม่ได้ห้าม แต่มันขัดกับความต้องการของประชาชน ขัดกับความรู้สึกของประชาชน อย่างนี้แล้วมันจะเกิดสันติสุขได้อย่างไงเหอ? พวกเอ็งลองใช้สมองคิดดูซิ อย่าสักว่ามีปากแล้วก็พูด พูด พูด เฮ้อ ความคิดสร้างสรรไม่เคยมีในสมองเลยนะพวกเอ็งเนี่ย
ดังนั้นที่ข้าฯอยากจะสอน เอ๊ย ไม่ใช่สิ อยากจะบอกพวกเอ็งว่า ถ้าพวกเอ็งจะทำหน้าที่ของนักวิชาการ พวกเอ็งจะอวดว่าเป็นพวกกูรูนั้น อันดับแรกเลยพวกเอ็งต้องตั้งอยู่บนสถานะของความเป็นกลาง อันดับต่อมาพวกเอ็งต้องกล้าวิพากษ์วิจารณ์ในทุกเรื่องที่เป็นเรื่องจริง ที่เป็นความรู้ กล้าต่อต้านกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสังคม อันนี้ต่างหากที่พวกเอ็งพึงสังวรเอาไว้
พวกเอ็งเห็นว่า หลังเลือกตั้งความแตกแยกยังคงมีต่อไป นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเอ็งควรทำ พวกเอ็งควรอธิบาย ควรทำความเข้าใจให้รู้ถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง พวกเอ็งต้องอยู่กับฝั่งที่ประชาชนให้ฉันทามติ จะเลือกถูกเลือกผิด ก็ต้องปล่อยไปตามครรลองของมัน แล้วให้ประชาชนได้รับรู้ ได้รู้สึกกันเองว่า ถ้าการเลือกผิดแล้วจะมีผลกับตัวเองอย่างไรบ้าง แล้วจิตสำนึกของความเป็นประชาธิปไตยก็จะค่อยๆพัฒนา ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ปฏิวัติ เอะอะอะไรก็ทำรัฐประหารแล้วก็ตั้งผู้นำที่เขาไม่ได้เลือก แบบนี้สิว้อย ปัญหาจึงไม่เคยจบ วนเวียนไปวนเวียนมาก็เข้าอีหรอบเดิมทุกที พวกเอ็งไม่สงสารประเทศ ก็สงสารประชาชนบ้าง อย่างน้อยพวกเอ็งควรรณรงค์ให้ทุกคนเคารพเสียงส่วนใหญ่ เคารพกติกาของสังคม ไม่ใช่เส้นใหญ่แล้วทำอะไรก็ได้ เข้าใจไหม?
และที่ข้าฯสมเพชพวกเอ็งที่สุดก็คือ การที่พวกเอ็งรวมทั้งผู้ที่มีหน้าที่ในการจัดการการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ออกมาพูดถึงเพื่อไทยว่า ถึงแม้จะได้เสียงข้างมากก็เป็นรัฐบาลไม่ได้ ถึงแม้จะได้เสียงข้างเกินครึ่ง ก็เป็นรัฐบาลพรรคเดียวไม่ได้ เดี๋ยวก็ถูกยุบอีก หรือไม่ก็ถูกใบเหลืองใบแดงจน ส.ส.ลดน้อยลง นี่พวกเอ็งไม่รู้หรือว่านั่นมันเป็นเรื่องของความผิดทางกฎหมายเลยนะเอ็ง เป็นเรื่องของอำนาจนอกระบบที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเชียวนะเอ็ง แต่พวกเอ็งกลับพูดเป็นเหมือนเรื่องปกติซะงั้น เป็นเรื่องสมควรซะงั้น แทนที่จะออกมาปกป้องประชาธิปไตย ดันไปสยบกับอำนาจเหล่านั้นซะเอง ยอมรับกับการปล้นอำนาจของประชาชนที่พวกเอ็งอาศัยภาษีเขาทำมาหากินอยู่ อย่างนี้แล้วข้าฯควรถอนคำพูดที่บอกว่าสมเพชพวกเอ็งเสียแล้วล่ะ แต่เปลี่ยนมาเป็นน่ารังเกียจมากเลยนะพวกเอ็ง
ต่อมาพวกเอ็งก็ยังทยอยออกมาพูดว่า ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียวจริงๆ แล้วแก้ไขกฎหมายเพียงเพื่อคุณทักษิณเพียงคนเดียวนั้น จะทำให้ประชาชนไม่พอใจแล้วลุกขึ้นมาต่อต้าน จนทำให้เกิดความวุ่นวาย เฮ้อ พวกเอ็งนี่ไม่น่าจะยกตัวเองเป็นพวกนักวิชาการเลยจริงๆ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ก็พรรคเพื่อไทยก็ชูนโยบายแล้วว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะแก้กฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นจากการเมือง แล้วเมื่อประชาชนส่วนใหญ่เลือกเข้ามา นั่นย่อมแสดงว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แล้วคนส่วนน้อยจะไม่ยอมได้หรือฟ่ะ ฮ่วย ของบ่นเป็นภาษีอิสานสักคำเถอะฟ่ะ แล้วข้าฯอยากจะด่าพวกเอ็งจริงๆ เสียดายนะที่ข้าฯเป็นคนด่าคนไม่เป็น ก็ดูสิว่า พวกเอ็งออกมาพูดกันแจ้วๆเป็นนกแก้วนกขุนทอง การแก้กฎหมายเพื่อคนๆเดียวเป็นเรื่องไม่สมควร เป็นเรื่องที่ไม่น่าทำ แล้วนักวิชาการอย่างพวกเอ็งลองไปอ่านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ดีๆ แล้วลองนับดูสิว่า มันมีกี่มาตราที่ร่างขึ้นเพื่อจัดการกับคนเพียงคนเดียว ทีอย่างนี้พวกเอ็งไม่เห็นแอะเลยสักคำ ทุเรศว้อย ขอบอก
ดังนั้นถ้าพวกเอ็งหวังดีต่อประเทศชาติจริงๆ ก็ต้องเปลี่ยนทัศนะคติเสียใหม่ ใครทำอะไรไม่ถูกต้อง ขัดกับหลักประชาธิปไตย พวกเอ็งต้องออกมาร่วมต่อสู้ ออกมาพิสูจน์ให้ประชาชนอย่างข้าฯได้เห็นว่าพวกเอ็งไม่ใช่แค่ “ดีแต่พูด” เพียงอย่างเดียว และถ้าทุกฝ่ายทำซะอย่างนี้ ข้าฯก็อยากรู้นักว่า ยังจะมีใครหน้าไหนกล้าออกมาไม่ยอมรับกับฉันทามติของประชาชน แล้วเมื่อนั้นประเทศก็จะมีทางออก ไม่ใช่วุ่นวายหลังเลือกตั้งอย่างที่พวกเอ็งคิด ทำได้ไหม แค่นี้เหอ
สุดท้ายข้าฯก็อยากบอกพวกเอ็งอีกสักเรื่อง คือ พวกเอ็งชอบพูดกันนักว่า เป็นการแย่งชิงอำนาจของคนสองขั้ว นี่พวกเอ็งโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ฝ่ายหนึ่งแย่งชิงอำนาจน่ะเรื่องจริง แต่อีกฝ่ายไม่ได้แย่งชิงนะว้อย แต่เป็นการทวงคืนต่างหาก พวกเอ็งอย่าพูดบิดเบือนอย่างนั้นสิฟ่ะ โถ พูดมาได้ แค่ตรรกะง่ายๆพวกเอ็งยังไม่เข้าใจกันอีก ประชาชนเป็นผู้มอบอำนาจและความชอบธรรมให้กับฝ่ายหนึ่งถูกต้องทั้งกติกา ถูกต้องทั้งกฎหมายและถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย แล้วมาถูกวิธีการสามานย์ต่างๆแย่งชิงไป เจ้าของอำนาจก็แค่ทวงคืนหรืออย่างน้อยก็คืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อพิสูจน์กันใหม่ว่า อำนาจเหล่านี้ประชาชนจะมอบให้ใคร นี่นับเป็นวิธีการที่แฟร์ที่สุดแล้ว แต่ไหงพวกเอ็งกลับมาบอกว่าเป็นการแย่งชิงอำนาจทั้งสองขั้ว แบบนี้แล้วยังอยากยกตัวเป็นนักวิชาการอีกหรือนั่น ข้าฯล่ะอับอายแทนพวกเอ็งเหลือเกิน
จากคุณ |
:
ทวดเอง
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ค. 54 09:43:32
A:14.207.181.28 X:
|
|
|
|