
"...เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การยึดอำนาจของคณะราษฎร์ ที่ยึดอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชจากสถาบันกษัตริย์เข้ามาสู่คณะราษฎร์ ในลักษณะนั้น ในวันนั้น ทุกคนมองเห็นว่า จากนี้ไปแล้วอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้อยู่ในมือพระเจ้าอยู่หัวอีกต่อไป แต่จะอยู่ในมือของคณะราษฎร์ เมื่ออยู่ในมือของคณะราษฎร์แล้วทุกคนมองว่า การเมืองจากนี้ไปแล้วจะต้องมีการเลือกตั้ง จะต้องมีพรรคการเมือง และพรรคที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพรรคของอำมาตย์ และศักดินา ที่เกิดขึ้นเพราะต้องการเอาพรรคนี้ เอามาปกป้องสถานภาพของอำมาตย์ และสถานภาพของศักดินา เพราะฉะนั้นถ้าเราไปดูผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนั้น 70-80 ปีที่แล้ว จะเห็นได้ชัดว่าล้วนแล้วแต่เป็นศักดินาทั้งสิ้น หรือไม่ก็เป็นอำมาตย์ทั้งสิ้น ลูกเจ็กลูกจีนอย่างพวกเราไม่มีสิทธิ์ เพราะตอนนั้นแค่ใช้แซ่ หรือว่าใช้นามสกุลที่ขึ้นด้วยชื่อแซ่ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรับราชการอยู่แล้ว เป็นทหารก็ไม่ได้ เป็นตำรวจก็ไม่ได้ แล้วจะไปร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองกับเขาได้อย่างไร
พรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นและก็มีพรรคหลายๆ พรรคเกิดขึ้น มีการต่อสู้ทางการเมืองกันขึ้นมา การต่อสู้ในทางการเมืองในยุคนั้นคือการแย่งชิงอำนาจกัน อำมาตย์และศักดินาก็ใช้พรรคประชาธิปัตย์ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง และในขณะเดียวกัน ในช่วงนั้นทหารเริ่มเข้ามายึดอำนาจ นำเข้าสู่ระบอบเผด็จการ เป็นช่วงๆ ไป เมื่อเป็นช่วงๆ ไปแล้ว อำมาตย์และศักดินาต้องการอำนาจตัวเองคืน ก็ใช้พรรคประชาธิปัตย์เป็นนักต่อสู้พวกเผด็จการ พรรคประชาธิปัตย์ก็เลยเป็นพรรคที่ต่อสู้เผด็จการ เมื่อใดก็ตามที่ทหารเข้ามายึดครองอำนาจ เมื่อใดก็ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ปราศรัย คนก็จะไปฟังพรรคประชาธิปัตย์เต็มท้องสนามหลวง สนุกสนานกับการเสียดสี กับการประชดประชันของบรรดานักปราศรัยฝีปากกล้าของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมนูญ เทียนเงิน ไม่ว่าจะเป็นนายควง อภัยวงศ์ หรือไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองรุ่นหนุ่ม เช่น คุณชวน หลีกภัย หรือคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน วิวัฒนาการของพรรคประชาธิปัตย์ เลยถูกพัฒนาขึ้นมาจากเก่งแต่ปาก เพราะพูดเก่งด่าเก่ง แล้วดีเอ็นเอของการพูดเก่งด่าเก่งนั้น ถูกฝังเข้าไปในตัวพรรคประชาธิปัตย์ และก็ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่ง และไปสู่รุ่นหนึ่ง ไปสู่รุ่นหนึ่งตลอดเวลา ..."
สนธิ ลิ้มทองกุล
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ ระหว่างการชุมนุม รวมพลังปกป้องแผ่นดิน
13 พ.ค. 2554
นายประพันธ์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์บอกอีกว่า 5-6 ปีที่ผ่านมาทำให้ประชาชนมีความทุกข์เพราะการเมืองนอกสภา เพราะการชุมนุม นี่มันเป็นการบิดเบือน เป็นการใส่ร้ายกลบเกลื่อนข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดอย่างหน้าด้านๆของนายอภิสิทธิ์ ความจริงแล้ว 5-6 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองวุ่นวายเพราะใคร
หากพี่น้องมีใจเป็นธรรมคิดให้ดี มันเป็นเรื่องของเหลืองและแดงหรือ ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจระหว่าง ระบอบอภิสิทธิ์ กับระบอบทักษิณ พันธมิตรฯอาจมีส่วนในช่วงแรก แต่นายอภิสิทธิ์จะมาอ้างว่าทำให้บ้านเมืองไม่สงบไม่ได้ เพราะ 193 วัน เป็นการสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ แล้วถ้าไม่มีการชุมนุมของเราจะมีนายกฯที่ชื่อนายแหลอย่างอภิสิทธิ์หรือ
แต่พอนายอภิสิทธิ์มาเป็นนายก ฯ มันก็เกิดความขัดแย้งระหว่างเสื้อนำเงินกับเสื้อแดง ในการล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา โดยเสื้อน้ำเงินเนวินก็เป็นผู้ตั้งขึ้นมา ซึ่งก็อยู่ภายใต้การรู้เห็นของนายสุเทพ เหตุการณ์ 19 พฤษภาคม นายอภิสิทธิ์พยายามมาติดต่อให้เสื้อเหลืองออกไปสู้ แต่พวกเราไม่ออก เลยเกิดเสื้อหลากสีขึ้นมา เสื้อหลากสีเป็นการดำเนินการของนายอภิสิทธิ์ ที่บ้านเมืองไม่สงบเพราะการเมืองนอกสภา นั่นก็เพราะการสมรู้ร่วมคิดของนายอภิสิทธิ์ กับนายเนวิน ไม่ใช่พวกเราแม้แต่น้อย
และที่เลวร้ายที่สุด วันนี้ภายใต้การบริหารงานของนายอภิสิทธิ์ ได้ดึงทหารไปปะทะกับเสื้อแดง เอาทหารไปเป็นเครื่องมือในการค้ำบัลลังก์ จนทหารบาดเจ็บล้มตาย ทหารหาญพึงสำนึกให้ดีเหตุวุ่นวายเกิดจากรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่เกี่ยวกับพันธมิตรฯแม้แต่น้อย เป็นการพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น
"นายอภิสิทธิ์บอกด้วยว่าประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองอาชีพ ช่วยบอกหน่อยผลงานการบริหารทางการเมืองที่แสดงออกถึงการสร้างชาติ การพาประเทศก้าวหน้า มีอะไรบ้าง มีแต่แก้เกมการเมือง ใส่ร้ายผู้อื่น ทำลายผู้แข่งขันเพียงเพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง อาชีพของคุณก็คือรักษาอำนาจการเมืองสกปรกเท่านั้นเอง ถึงบอกว่าพรรคการเมือง นักการเมืองอาชีพเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่มีอาชีอะไรเลย นอกจากแหรไปวันๆ นี่หรืออาชีพของการเป็นพรรคการเมือง" นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ คูณมี
โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวปราศรัยบนเวที "รวมพลังปกป้องแผ่นดิน"
14 พ.ค. 2554
หาก ปชป. และพันธมิตรไม่แตกคอกัน ประชาชนจะได้รู้ได้ฟังอะไรจัง ๆ หู จะ ๆ ตาแบบนี้ไหม
ไม่ว่าเรื่อง ปชป. เป็นอีแอบเล่นการเมืองนอกสภาฯมาตั้งแต่ปี 2549
ขนคนสนับสนุนการชุมนุมของพันธมิตร ชนิดเต็มออก ๆ แต่เมื่อแตกคอกัน พันธมิตรก็เหลือมวลชนแค่หลักร้อยถึงหลักพัน
หลักหมื่นหลักแสนจากแดนใต้หายไปไหน ?
เรื่องการพบกันระหว่างนายอภิสิทธิ์และนายสนธิที่บ้านนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ที่นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธหน้าตาเฉย
แต่สุดท้ายก็เป็นแป๊ะลิ้มเองที่ออกมาเปิดเผยว่าพบกันหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯใหม่ ๆ
นายกรัฐมนตรี แอบพบกันกับผู้ต้องหาหลายคดี งามซะไม่มีที่ติ
นายอภิสิทธิ์ยังกล้าทำ !!!
ที่ยกมานี่ เป็นแค่เรื่องสองเรื่องที่นายอภิสิทธิ์เล่นนอกระบบมาตลอด ไม่นับอีกหลาย ๆ เรื่อง
อีกหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องทางการเมือง
คิด ๆ ดู นายอภิสิทธิ์นี่ มีด้านมืดของชีวิตมากมายซะจริง ๆ
