"ทักษิณ ชินวัตร" ไขปริศนา ทำไมต้อง "ยิ่งลักษณ์"
|
 |
"ทักษิณ ชินวัตร" ไขปริศนา ทำไมต้อง "ยิ่งลักษณ์" ทำไมต้องตั้ง "รัฐบาลผสม"
วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:18:23 น.
สัมภาษณ์พิเศษ อนุสรณ์ ศิริชาติ
ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และ ส.ส.ระบบเขต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกระหว่างการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่าตัวเองแทบไม่ได้ว่างเว้นจากการพบปะผู้คน โดยเฉพาะบรรดาผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคเพื่อไทย ที่เดินทางมาพบ
โดยเฉพาะช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมาพักผ่อนที่ประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 11-14 พฤษภาคม
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวยอมรับว่า มีคนขอเข้าพบปะ แลกเปลี่ยน จำนวนมากจริงๆ
"คุณเชื่อมั้ยผมเคยไปพักผ่อน 3 วัน มีคนขอเข้าพบผม 130 คน ผมต้องรับแขกตั้งแต่โมงเช้ายันตีสองทุกวัน จนวันที่สี่ ต้องหนีกลับ ไม่อย่างนั้นจะมากันอีก"
แต่การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาพบ คงไม่ใช่เพียงเพื่อมาฟังแนวทางนโยบาย แต่น่าจะมีเรื่อง "ปัจจัย" สนับสนุนหรือ "กระสุนดินดำ" ติดไม้ติดมือกลับไป
เสียงปลายสายปฏิเสธ
"ไม่มี ผมย้ำกับผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยที่เข้ามาพบผมว่า ห้ามซื้อเสียง เพราะหากมีการซื้อเสียงเท่ากับคุณเตรียมตัวแพ้ เพียงแค่คุณเอาแนวนโยบายของพรรค และผลงานในอดีตมาเป็นจุดขายก็สามารถชนะได้แล้ว..."
พร้อมยอมรับว่า ขณะที่พูดคุยกันอยู่ ก็มีคนมารอเข้าคิวเพื่อพบปะเขาอย่างน้อย 20 คน ทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ ทั้งไทยและต่างประเทศ
นํ้าเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดูเหมือนมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง ทำให้ต้องตั้งคำถามว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะจริงๆ คิดว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองของประเทศไทยได้หรือ
คำตอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ
"ผู้เข้ามาแทรกแซงระบบควรหยุดแทรกแซง ต้องปล่อยให้ระบบเดินไปได้ด้วยตัวเอง เพราะทุกอย่างมีกฎมีกติกาอยู่แล้ว และให้การปรองดองเกิดขึ้นได้จริง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามระบบ ผมว่าจะเปลี่ยนหน้าประเทศไทยไปอย่างมาก"
"ผมบอก พรรคเพื่อไทยทุกคนให้ประกาศไปได้เลยว่า เราจะไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข แก้ไขทั้งสิ่งที่ไม่ถูกต้องเวลานี้ และแก้ไขทั้งสิ่งที่เราอาจทำอะไรไม่เป็นที่พอใจในอดีต เราก็มาปรับ แก้ไขทั้งสองฝ่าย แก้ไขทั้งสองส่วน"
"ใครที่โกรธเกลียดผม หากได้กลับเมืองไทย ผมจะแวะไปหาทุกคน เพื่อถามว่าโกรธเกลียดอะไรผม รวมถึงท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) ด้วย ถ้าท่านให้ผมคุย ผมคุย วันนี้ถ้าท่านให้ผมโทรศัพท์คุยก็คุย ผมไม่มีอะไร ผมคนไทยเราเคารพผู้ใหญ่ด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ เพราะฉะนั้น ทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิของท่านผมเคารพได้ ไม่มีปัญหา"
หลายฝ่ายมองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนเป็นสงครามครั้งสุดท้าย หากไม่ชนะการเลือกตั้ง หรือหากชนะการเลือกตั้งแต่ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล อาจจะไม่ได้กลับเมืองไทยตลอดชีวิต
หากแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดต่าง
"...คนอย่างผม ตราบใดที่ความเป็นธรรมยังไม่เกิด ก็จะต้องแสวงหาความเป็นธรรมต่อไป ผมไม่ต้องการที่จะทำสงครามกับใครเลยนะ เพราะผมเป็นคนรักสงบมาก ด้วยความเป็นคนเมืองเหนือ นับถือศาสนาพุทธ ก็อยากให้ความเป็นธรรมมันเกิด ถ้าความเป็นธรรมไม่เกิด เราอุตส่าห์ต่อสู้มาทั้งชีวิต ทำความดีตลอดเวลา อยู่ๆ ยัดเยียดความไม่เป็นธรรมให้ มันก็ต้องพิสูจน์กัน"
ส่วนที่พูดกันว่า แม้เพื่อไทยจะได้เสียงข้างมากอาจไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบไปหัวเราะไป "ถ้าประชาธิปไตยคือคนแต่งตัวใส่สูทผูกเน็คไทเรียบร้อย ประเทศไทยก็ใส่สูทผูกเน็คไทเหมือนกัน แต่ดันไม่ใส่กางเกง แถมยังใส่รองเท้าแตะ คือถ้าคนต่างประเทศดูข้างบน ก็จะบอกว่าเราเป็นประชาธิปไตยแน่นอน แต่ถ้าก้มดูข้างล่าง จะรู้ว่าไม่ใช่ นั่นเท่ากับเป็นการแก้ผ้าให้คนต่างชาติดู ถ้าคุณอยากจะแก้ผ้าให้ชาวโลกดูก็ไม่เป็นไร"
ทั้งนี้ ดูเหมือนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วางกลยุทธ์หลังการเลือกตั้งไว้พอสมควร โดยยอมรับว่า หากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องมีพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศร่วมกัน
โดยระบุว่า ในการเลือกตั้งปี 2548 ที่พรรคไทยรักไทยได้เสียงมา 377 เสียง และตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเป็น "ความผิดพลาด"
"...ผมถือว่าเป็นความผิดพลาดในคราวที่แล้ว ที่เราได้เยอะแล้วไม่มีพรรคร่วม เพราะความจริงแจกันเต็มไปด้วยดอกไม้ที่สวยงามแต่ไม่มีใบเฟิร์นประกอบมันก็จะไม่ค่อยสวย (หัวเราะ) ต้องมีใบเฟิร์นเสียบอยู่บ้าง
ความหมายคือจะไม่จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่ต้องมี "พรรคร่วม"
ด้วยเหตุผล "จะทำให้คนไทยบางกลุ่มหมั่นไส้เอา"
สําหรับเบื้องหลังที่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ถูกวางตัวให้เป็นคู่ชิงนายกรัฐมนตรีนั้น
พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดใจเล่าว่า
"คิดทั้งไป คิดทั้งกลับ เนื่องจากสงสารน้องสาว เพราะการเมืองไทยเป็นเรื่องของการทำลายล้าง"
"ใครขึ้นเป็นผู้นำจะต้องถูกทำลาย เรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ก็ทำลาย ผมก็มีความรู้สึกสงสารน้อง เพราะเป็นผู้หญิงด้วย ถึงแม้จะเก่งในเรื่องของการบริหาร แต่มันไม่เหมือนกับการเมือง มุมหนึ่งก็สงสาร เพราะเมื่อขึ้นไปก็จะต้องถูกประชาธิปัตย์ทำลายอย่างแน่นอน แต่ถามเรื่องความสามารถที่จะบริหารนโยบายต่างๆ ที่เราช่วยกันคิดให้กับประชาชนได้มั้ย ผมว่าเขาทำได้ดี เขามีประสบการณ์มากกว่าอภิสิทธิ์เยอะ"
เมื่อถามว่า "ยิ่งลักษณ์" คือนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ
"เป็นคำพูดของพวกฝั่งตรงข้าม...สงสัยคุณเป็นพวกฝั่งตรงข้าม (หัวเราะ)..." ก่อนจะบอกว่า ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่ "นอมินี" แต่เป็น "โคลนนิ่ง"
"...คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็นนอมินี แต่เป็นโคลนนิ่ง โคลนผมมาเลย เพราะเคยทำงานร่วมกันมา ผมเลี้ยงมาเหมือนกับลูกสาวคนโตของผม เพราะแม่เสียเมื่อเขาอายุน้อยเพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ผมเลี้ยงเขาจนจบและไปเรียนปริญญาโทเมืองนอก แล้วกลับมาทำงานกันตั้งแต่เป็นเซลส์ขายเยลโล่เพสเจส จนเติบโตมาเรื่อยๆ จนเป็นประธานของเอไอเอส ตอนนี้ก็เป็นซีอีโอของแอสซี เอสเสท"
"สไตล์การทำงานของเขาก็คือผมเลย ผิดกันแค่เป็นผู้หญิงกับผู้ชายเท่านั้นเอง ข้อดีของเขาคือ จะละเอียดกว่าผมหน่อย"
เมื่อ "ยิ่งลักษณ์" คือ "ทักษิณ"
จึงไม่น่าแปลกใจที่ชื่อของ "ยิ่งลักษณ์" คือหมายเลข 1 ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อชิง "นายกรัฐมนตรี" ของพรรคเพื่อไทย!
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1305868726&grpid=no&catid=&subcatid=
จากคุณ |
:
งิ้วแดง
|
เขียนเมื่อ |
:
21 พ.ค. 54 20:37:46
A:223.206.217.49 X:
|
|
|
|