
เรื่องของเรื่องก็คือ การยึดทรัพย์ทักษิณนั้น ไม่ได้ยึดเพราะทุจริต แต่ยึดเพราะถือว่าเป็นลาภที่ไม่ควรได้
แค่นี้มันก็พิลึกแล้ว
ความพิลึกที่ตามมาก็คือ แทนที่จะบอกว่าผิดอาญาแผ่นดิน ต้องยึดทรัพย์ แต่นี่กลับบอกว่าไม่ผิดอาญาแผ่นดินใด ๆ ยึดเพราะไม่ควรได้
ทีนี้ พอยึดเสร็จ ก็จะเอาไอ้เรื่องยึดนี่แหละ ควานย้อนกลับมาหาความผิดทางอาญา
แทนที่จะเริ่มต้นด้วยอาญา แล้วตามยึด กลับยึดก่อนแล้วย้อนมาหาอาญา กลับหัวกลับหาง
ไม่พิลึกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
วันนี้คลายออกมาชัดเจนแล้วสองเรื่อง คือเรื่องทีโอทีไม่เสียหาย กับเรื่องที่ดินรัชดา
มันชัดว่า หมาป่ากับลูกแกะดี ๆ นี่เอง หาเรื่องเขาให้ได้ เอาเรื่องเขาให้ได้ พอกาลผ่านไป มันก็ชัดออกมาว่า พาลเขาทั้งนั้น
ใช้แผนตุลาการวิบัติสร้างความชอบธรรมในการทำลายล้างเท่านั้น
กลับมาเรื่องการยึดทรัพย์
วันนี้ นายแก้วสัน...พูดเหมือนตัวเองเป็นกฎหมาย คือพูดอะไรออกมาแปลว่าคนที่ถูกพูดถึงต้องเป็นไปตามที่นายแก้วสันพูดหมด
ว่าถูกก็ถูก ว่าผิดก็ต้องผิด เพราะอะไร ?
ก็เพราะความขี้เท่อเพ้อหลงไง ได้อำนาจจาก คมช. ได้เป็น คตส. อำนาจล้น เลยเพ้อหลงว่าตัวเองคือกฎหมาย คือความถูกต้อง
ถ้าไม่มี ม.309 คุ้มกะลาหัวอยู่ล่ะก็ ไม่รู้จะโดนกี่ข้อหาแล้วสำหรับ คตส. น่ะ
ม.309 นี่ มันเหมือนไม่ใช่รัฐธรรมนูญ มันเหมือนกฎโจรดี ๆ นี่เอง มีที่ไหน คุ้มครองเฉพาะกลุ่ม จะทำอะไรก็ได้ไม่ผิด
พ่อโอนหุ้นให้ลูก ตามกฎหมายจบไหม มันก็คือจบ
พี่โอนหุ้นให้น้อง ตามกฎหมายจบไหม มันก็คือจบ
นี่คือหลักสากล นี่คือหลักนิติรัฐ
ส่วนผลพวงที่ตามมา เวลาได้ผลประโยชน์จากหุ้น เขาจะให้ใคร ใครจะเป็นผู้รับประโยชน์ มันมีกฎหมายข้อไหนบอกว่าผิด
ที่เห็น ๆ อยู่นี่ ก็เป็นการ "เชื่อได้ว่า" เป็นการอ้างเรื่อง "นิติกรรมอำพราง" เพื่อเล่นงานเท่านั้นเอง
นิติกรรมใด ๆ ถ้ามันถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย มันก็คือถูก
คนล้มละลายเต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนโอนทรัพย์สินให้คนอื่น ๆ ทั้งนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนเจ้าหนี้ยึดทรัพย์
อย่างนี้ติดคุกหมด ข้อหาทำนิติกรรมอำพราง
ก็รู้กันทั้งนั้น รู้ทั้งรู้ว่าโอนหนีหนี้ แต่เมื่อกฎหมายทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่สั่งล้มละลายเท่านั้น
ทำไมไม่มี "เชื่อได้ว่า" ตามไปยึด
ดูกรณีคนดังอย่างนายสนธิลิ้มสิ ล้มละลายแต่ไม่เคยจน ล้มละลายเป็นหมื่นล้าน เจ้าหนี้ได้กระดาษแผ่นเดียว
แต่สนธิยังมีอาณาจักรทางธุรกิจอยู่เหมือนเดิม
อย่างนี้เป็นนิติกรรมอำพรางไหม ?
ไม่นับบุคคลล้มละลายอื่น ๆ อีกเต็มบ้านเต็มเมือง
เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับทักษิณ มันก็คือการมุ่งล้มล้าง มุ่งเอาผิดให้ได้ เป็นการบิดกฎหมาย ตีความกฎหมายเพื่อเอาผิด
(ดูกรณีแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ยังมีการตีความเกินบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญซะด้วยซ้ำ ด้วยการใช้คำว่า "อาจ" ซึ่งไม่มีในรัฐธรรมนูญ)
มันก็แแปลก มะรุมมะตุ้มหาทางเล่นงาน แต่จะหาไอ้ที่มันชัด ๆ สักเรื่องดันไม่มี
คนทำธุรกิจน่ะ ก่อนจะทำอะไรเขาจะมีที่ปรึกษาทางธุรกิจ มีที่ปรึกษาทางกฎหมาย
แต่เพราะมันจ้องเอาเรื่องกันให้ได้ นิติรัฐ นิติธรรมมันจึงอลเวงไปหมด ขาดความน่าเชื่อถือไปหมด
สิ่งที่ทักษิณมีต่อสาธารณะชน ก็คือความคลางแคลง คลางแคลงว่าเขามีอะไร ๆ อยู่เบื้องหลังหรือไม่
สิ่งนี้ตามหลักนิติรัฐ ถ้ามันไม่ผิดข้อบัญญัติของกฎหมาย มันก็ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นหลักสากล
แต่ของเรา เอานิติรัฐมาปู้ยี่ปู้ยำเพื่อเล่นงานคน ๆ เดียว คุ้มไหม ?
บางคนอาจสะใจ บางคนอาจบอกว่าคุ้ม นั่นเป็นความเห็นที่ตอบสนองทางความรู้สึกเท่านั้นเอง
เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ในวันนี้ ความเสียหายที่ตามมาก็คือ เละ
ยุติธรรมบิดเบี้ยว บิดเบี้ยวเพราะเมื่อมันบิดเบี้ยวคราใดคราหนึ่ง บิดเบี้ยวเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันก็กล้าที่บิดเบี้ยวต่อไป
เละไหม ?
การยื่นเรื่องตรวจสอบยิ่งลักษณ์ในวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องว่าไม่น่าทำ หรือทำไม่ได้
แต่มันเรื่องที่ว่า ทำไมแต่ก่อนไม่ทำ หรือทำไมไม่ทำหลังวันที่ 3 ก.ค.
อ้างว่าตรวจสอบเขา ก็ควรเล่นแฟร์ ๆ เพราะขณะนี้มันเป็นช่วงที่ "นักเลงเขาไม่ทำกัน"
ยกเว้นกระจอกอย่างพรรคการเมืองบางพรรค และคนบางคน บางพวก
อ้างว่าเพื่อรักษากฎเกณฑ์บ้านเมือง อ้างบ้านอ้างเมือง แต่ถ้าเป็นพวกกู ผิดแค่ไหน ฉายหิบเท่าไรกูก็ไม่เห็นไม่รู้
เจตนามันชัดเจนว่า เพื่อมุ่งหวังผลทางการเมืองเท่านั้น
วันนี้ ยังไม่รู้ว่ายิ่งลักษณ์จะผิดหรือจะถูก ก็ขนาดปมของเรื่องแท้ ๆ คือการยึดทรัพย์ ก็ยังคลุมเครือ มีข้อถกเถียงกันอยู่
ถกเถียงกันอยู่ว่าการยึดน่ะ ถูกต้องชอบธรรมไหม ?
ใช้กฎหมายเพื่อหมายกดคนอื่นจนเหลิง จนเพ้อหลงนึกว่าตัวเองเป็นกฎหมาย จนหลงเพ้อว่าตัวเองคือความถูกต้อง
ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว มันก็คือการพาบ้านเมืองเดินไปสู่นรกแท้ ๆ
เมืองใดไร้ธรรม เมืองนั้นจะเหลืออะไร
มันก็จะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
นรกชัด ๆ
