โปรดพิจารณา

.....................

1. ทำไมประชาชนไม่กลัว "ผีทักษิณ" ที่ ปชป. พยามยามปลุกขึ้นมาขู่ ?    แล้วประชาชนกลัวอะไร ?

ยุทธการ "โค้งสุดท้าย"  ยุทธการ "สร้างความกลัว"  ของ "ประชาธิปัตย์"

เหตุปัจจัยอันใดทำให้ชาวบ้าน "สยอง" ต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มากกว่าจะสยองต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นโคลนนิ่งของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร

เหตุปัจจัย 1 เพราะว่าการได้เป็นนายกรัฐมนตรีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นไปตามพิมพ์เขียวที่การรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กำหนดเอาไว้

กำหนดเอาไว้เหมือนกับที่เชิด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ทั้งๆ ที่กลุ่มรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 รวมทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ล้วนสำแดงตนเป็น "คนดี" แล้วเหตุใดชาวบ้านจึงบังเกิดอาการ "สยอง" แล้วกลายเป็นโรคระบาดแพร่ลามมาถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วย

เพราะการรัฐประหารก่อสภาพงันชะงักในการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าของประเทศ และอีกปัจจัยอันทำให้นำไปสู่บทสรุปอย่างเดียวกัน

นั่นก็คือ ปัจจัยที่ "คนดี" เหล่านี้ทำงานไม่เป็น บริหารบ้านเมืองไม่เอาอ่าว

ความเป็น "คนดี" ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เด่นชัดอย่างยิ่ง ณ เบื้องหน้าชาวบ้านจากบทบาทในเรื่องเขายายเที่ยง

และการยึดกุมหลักการ "บริหารโดยไม่บริหาร" ในแบบพรรคประชาธิปัตย์

ความเป็น "คนดี" ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เด่นชัดอย่างยิ่ง ณ เบื้องหน้าชาวบ้านจากบทบาทตลอด 2 ปีเศษที่เป็นนายกรัฐมนตรี

1 ก่อให้เกิดข้าวยากหมากแพงทุกหย่อมย่าน  ชาวบ้านเดือดร้อน

1 ผลงานอันโดดเด่นยิ่งของรัฐบาลก็คือ การตายจำนวน 90 กว่าศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 คนในเหตุการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553

1 การโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่ตำแหน่งนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดี ไปจนถึงปลัดกระทรวง

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เมื่อนำเอาผลงานของ "คนดี" อย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประสานเข้ากับ "คนดี" อย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

อาการ "สยอง" ย่อมบังเกิดติดตามมา

ยิ่งคำนึงถึงความเป็นจริงที่บ้านเมืองแตกแยก ขัดแย้ง บ้านเมืองอยู่ในภาวะหยุดชะงักไม่ก้าวเดินไปข้างหน้านับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา

ยิ่งบังเกิดอาการ "สยอง" ในระดับขนลุกขนพอง

ความต้องการ "ร่วม" อย่างหนึ่งซึ่งตรงกันก็คือ ต้องการยุติความขัดแย้ง แตกแยก ต้องการเดินไปข้างหน้าอย่างมีศักดิ์ศรีและเป็นธรรม

ถามว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอในโค้งสุดท้ายสะท้อนให้เห็นแนวคิดอะไร

เด่นชัดยิ่งว่าสะท้อนแนวคิดก่อนและหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 อันเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดการสะดุดหยุดชะงักการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง

ยิ่งสร้างความกลัว ชาวบ้านยิ่งจะกลัวพรรคประชาธิปัตย์เป็นทวิ ทวีคูณ

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dOVEk1TURZMU5BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdOaTB5T1E9PQ==

2. ทำไมกรณีการถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลกจึงเป็นแค่ละครการเมืองเรื่อง "แหกตาประชาชน" ?

กรณีพระวิหาร  หล่มโคลนทางการเมือง "อภิสิทธิ์-สุวิทย์"

ทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ คาดหมายว่า ไพ่ที่พวกเขาคบคิดและร่วมกันทิ้งในการประกาศถอนตัวจาก "มรดกโลก" คือ ทีเด็ด

ทีเด็ด 1 เพื่อแสดงให้เห็นถึงการยึดกุมแนวทาง "ชาตินิยม"

เป็นแนวทางเดียวกับที่พวกล้าหลังคลั่งชาติเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2553 มาถึงเดือนมิถุนายน 2554

ทีเด็ด 1 เพื่อเป็น "การบ้าน" ทิ้งไว้ให้รัฐบาลใหม่หากเป็นของพรรคเพื่อไทย

เมื่อประสานประเด็นชาตินิยมเข้ากับความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็กลายเป็นหอกมหึมาพุ่งแทงเข้าใส่พรรคเพื่อไทย พุ่งแทงเข้าใส่คะแนนนิยมซึ่งกำลังพุ่งสูงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

พวกเขามาดหมายว่าการตัดสินใจในเรื่องมรดกโลก ในเรื่องปราสาทพระวิหารจะโกยคะแนนนิยมในช่วงโค้งสุดท้ายได้

ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเพ้อฝัน คิดเอง เออเอง

ถามว่าประเด็น "ชาตินิยม" ในเรื่องอันเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ในเรื่องอันเกี่ยวกับกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา จุดติดหรือไม่

ตอบได้เลยว่า ไม่ติด

รูปธรรมอันเด่นชัดยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวโดย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ปลุกอย่างไรก็ไม่ขึ้น

ระดมมวลชนได้เรือนสิบ เรือนร้อย อย่างมากที่สุดก็เรือนพันต้นๆ

อาจสอดรับกับพวกล้าหลังคลั่งชาติจำนวนหนึ่งที่ยังติดอยู่กับอดีต แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในยุคที่พรมแดนเริ่มไม่มีความหมาย แทบไม่ได้ให้ความสนใจเลย

ปลุกระดมอย่างไรก็ไม่เคยได้คนมาถึงหมื่น ไม่ว่าจะขุดทหารเก่า นักประวัติศาสตร์แก่ มาบิดเบือนข้อมูลอย่างไรก็ตาม

ทำไม

คําตอบที่ตรงเป้าอย่างที่สุดก็คือ ความรู้ในลักษณะข้อมูลทางประวัติศาสตร์มิได้เป็นเรื่องผูกขาดบนหอคอยงาช้างอย่างที่เคยดำรงอยู่ในกาลอดีต

ตรงกันข้าม รายละเอียดทั้งหมดมีการแผ่แบอย่างกว้างขวาง

รายละเอียดการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มิใช่ว่า นายสุวิทย์ คุณกิตติ หรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะผูกขาดเพียงด้านเดียว

ตรงกันข้าม ปัญญาชน นักวิชาการ ซึ่งมีความเที่ยงธรรม เคารพในความเป็นจริง ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ในระดับเดียวกัน

เพียง 1 ชั่วโมงก็รู้ว่าใครบิดเบือน ใครพูดความจริง

นั่นก็คือ ความเป็นจริงที่รัฐบาลไทยแทบไม่เคยยอมรับ แทบไม่เคยบอกกับประชาชน

แรกสุดก็คือ เหตุใดฝ่ายไทยจึงถอยร่นอยู่ตลอดเวลา ต่อมาก็คือ เหตุใดนานาชาติจึงเห็นด้วยกับกัมพูชามากกว่าเห็นด้วยกับไทย

ในอีกด้านจึงเท่ากับไทยอยู่ในภาวะโดดเดี่ยวเมื่อเทียบกับกัมพูชา

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dOak13TURZMU5BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdOaTB6TUE9PQ==

อ่านแล้วสงสารอภิสิทธิ์   สงสาร ปชป.

แมลงสาบหลงยุคจริง ๆ