Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เมื่อ ชนบทไทย ไม่ได้หยุดนิ่ง และ เปลี่ยนไปแล้ว ติดต่อทีมงาน

ช่วงนี้เห็นถกเถียงกันมาก เรื่อง การเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยมีบางส่วนพาดพิงไปถึงสังคมต่างจังหวัด เปรียบเทียบกับ เมืองหลวง ..ผมบังเอิญไปเห็นรายงานข่าว ของ นักข่าว เดอะ นิวยอร์ค ไทม์ส ซึ่งรวบรวม และวิเคราะห์จากนักวิชาการ และ ปราชญ์ชาวบ้าน เห็นว่าน่าสนใจ เลยคัดบางตอนจากมติชน ออนไลน์ ย่อมาให้อ่านกัน เพื่อให้บางคนเปิดใจให้กว้างขึ้น และยอมรับว่า สังคมชนบท หรือต่างจังหวัดมันเปลี่ยนไปแล้วครับ
ณ บ้านหนองตื่น จ.มหาสารคาม

"ชาร์ลส์ คายส์" นักวิชาการชาวสหรัฐฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขามานุษยวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซึ่งเริ่มเดินทางเข้ามาศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่บ้านหนองตื่นเมื่อเกือบ 5 ทศวรรษก่อน ได้อธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชนบทไทยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจาก "ชาวนาไปสู่ชาวบ้านผู้รู้โลกกว้าง"

"มีความรู้สึกภายในสังคมไทยว่า ถึงเวลาแล้วที่สัญญาประชาคมแบบเดิมจะต้องถูกปรับประสานต่อรองเสียใหม่.. ความคิดเรื่องประชาธิปไตยได้ค่อยๆ ไหลซึมเข้าสู่หมู่บ้านชาวนาในชนบทอย่างช้าๆ เดิมที ชาวบ้านเหล่านี้รู้สึกว่าตนเองไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับการเลือกตั้งในระดับชาติ และไม่ค่อยมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับ ส.ส. ที่พวกเขาลงคะแนนให้สักเท่าใดนัก ”

แต่เมื่อล่วงเข้าสู่คริสต์ทศวรรษ 1990 กระบวนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นได้เกิดขึ้น จนนำไปสู่ระบบการบริหารจัดการท้องถิ่นผ่านองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)…

เมื่อสัญญาประชาคมแบบเก่า ซึ่งอำนาจจากกรุงเทพฯ และสถาบันทางการเมืองที่ครองอำนาจได้พึ่งพาอาศัย "ความยินยอมอันเงียบงัน" จากสังคมชนบทตลอดมา พลันแตกสลายลง

ชาวบ้านในชนบทบอกว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับระบบการเมืองแบบ "คุณพ่อรู้ดี" จากกทม. อีกต่อไป !

ความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงต่อชีวิตของชาวบ้านในชนบท และฉันทามติทางการเมืองในระดับชาติที่แตกหัก มิได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงเท่านั้น แต่ยังเกิดกับอีกหลายประเทศในทวีปเอเชีย ซึ่งมีอัตราการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะประเทศจีน..” คายส์ แสดงทัศนะ

ความแตกแยกในสังคมไทยมักถูกอธิบายว่าเป็นการปะทะกันระหว่าง "ชนบท" กับ"เมือง" หรือ "คนรวย" กับ "คนจน" แต่ "วิลเลียม เคลาสเนอร์" นักวิชาการชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง ซึ่งศึกษาเรื่องชนบทไทยมามากกว่า 50 ปี กลับเห็นว่า นั่นเป็นคำอธิบายที่สลับซับซ้อนน้อยจนเกินไป

เพราะตามความเห็นของเขา ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้คนชนบทไทย ก็คือ การที่ชาวบ้านถูก "ปลดปล่อย" หลังจาก "ความสัมพันธ์แบบมีลำดับชั้นตามจารีต" ได้ถูกรื้อถอน, การที่พวกเขาได้ขยายขอบเขตความทะเยอทะยานของตนเอง และการที่พวกเขาหาญกล้าจะพูดถึงสิ่งที่อยู่ภายในใจของตนเองออกมามากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านจากชนบทจำนวนมากจึงเดินทางเข้ามาชุมนุมประท้วงในกรุงเทพฯ

ตามสถิติของทางการ ประชากรมากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศไทยมีแหล่งพำนักอยู่ในชนบท อย่างไรก็ตาม การอพยพย้ายถิ่นฐานไปมาในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทพร่าเลือนไป


"อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์" นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ว่า นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ชนชั้นนำไทยยังทำความเข้าใจไม่ได้

"สถาบันทางการเมืองแบบเก่าและรัฐไทยได้แช่แข็งสังคมเกษตรกรรมชนบทเอาไว้ในภาพแบบเดิมๆ" อรรถจักร์แสดงความเห็นในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และว่า "พวกเขาพยายามธำรงรักษาภาพของชาวบ้านชนบทที่ประพฤติตัวดีและมีนิสัยเชื่อฟังอ่อนน้อมให้คงอยู่ ทั้งที่ในความเป็นจริง สังคมชาวนาแบบนั้นมันไม่มีอยู่แล้ว"

"ถ้าผู้นำประเทศไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้" อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุ


อุดม ทัพสุริย์" ชาวนาและปราชญ์ชาวบ้านแห่งบ้านหนองตื่น ให้ข้อคิดว่า
รูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นส่งผลให้ชาวบ้านรู้สึกว่าพวกเขาสามารถกำหนดชะตากรรมทางการเมืองของตนเองได้
"เราจึงเริ่มมีความคาดหวังเพิ่มมากขึ้น" ลุงอุดมกล่าว

ความคาดหวังเหล่านั้นได้ถูกตอบสนองบ้างบางส่วน ภายหลังการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2544 ของนายกรัฐมนตรีประชานิยมอย่าง "ทักษิณ ชินวัตร" ที่มีฐานอำนาจอยู่ในสังคมชนบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

เศรษฐีพันล้านอย่างทักษิณ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ผู้ต่อสู้เพื่อชนชั้นชาวนา ได้สร้างความนิยมให้แก่ตัวเองด้วยนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค และนโยบายกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งท้องถิ่นสามารถจัดการเงินงบประมาณดังกล่าวได้ด้วยตัวเอง

"เมื่อก่อน ชนชั้นนำจะเป็นฝ่ายตัดสินใจว่าใครควรจะได้ขึ้นครองอำนาจ แต่ตอนนี้ พวกเราได้กลายมาเป็นคนตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวแล้ว"

ชาวบ้านมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น ไม่มีใครทำงานให้ใครแบบฟรีๆ อีกแล้ว คนรุ่นใหม่มักจะไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และทุกครอบครัวก็มีภาระหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ปราชญ์ชาวบ้านแสดงทัศนะและว่า  "ผู้คนต้องการจะซื้อหาในสิ่งที่พวกเขาไม่มีกำลังมากพอจะจับจ่าย"
ปัจจุบัน บ้านหนองตื่นได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทย ด้วยโทรทัศน์, วิทยุ ตลอดจนอินเตอร์เน็ต ชาวบ้านในหมู่บ้านได้เดินทางไปยังจังหวัดอื่นๆ เป็นกิจวัตร และทุกครอบครัวก็มีพาหนะประจำบ้านเป็นรถมอเตอร์ไซค์ หรือ รถกระบะ ..และทุกๆ ครอบครัวในชนบท จะต้องมีสมาชิกบางคนที่เดินทางเข้ามาทำงานในกทม. หรือต่างประเทศ"

ชาวบ้านที่บ้านหนองตื่น พร่ำบ่นถึงสปีดอันเชื่องช้าของอินเตอร์เน็ตประจำหมู่บ้าน มีจำนวนไม่น้อยพูดถึงช่วงเวลาที่ตนเองเดินทางไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน สิงคโปร์ อิสราเอล ซาอุดิอาระเบีย คนเหล่านี้มีไมล์สะสมในการเดินทางด้วยเครื่องบินไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบรรดาผู้ที่พำนักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมสุดทันสมัย ณ กรุงเทพมหานคร..

จากที่เคยเฉื่อยชาและปล่อยชีวิตไปตามพรหมลิขิต ชาวบ้านในบ้านหนองตื่นยุคปัจจุบัน มีการศึกษาที่ดีขึ้น ออกเดินทางมากขึ้น มีความเคารพนบนอบต่อผู้มีอำนาจลดน้อยลง และแน่นอนที่สุด พวกเขามีความต้องการทางการเมืองเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนเด็กๆ ในหมู่บ้าน ที่มักใช้เวลาว่างจากการไปโรงเรียน ในการดูทีวีหรือจับกลุ่มกันในร้านอินเตอร์เน็ต ก็ไม่ได้ขึ้นขี่หลังฟวายกันอีกแล้ว


โธมัส ฟุลเลอร์ ผู้สื่อข่าวของ "เดอะ นิวยอร์ค ไทม์ส" ได้เขียนรายงานข่าวชื่อ "Rural Thais Find an Unaccustomed Power" (เมื่อคนชนบทไทยค้นพบอำนาจที่พวกเขาไม่เคยได้รับมาก่อน) ก่อนวันที่ 3 กรกฎาคม 2554

จากคุณ : แมวน้ำสีคราม
เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 21:05:55 A:180.180.91.30 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com