แต่เหตุผลหลักอีกอย่างที่หลายคนอาจลืมไป และประเด็นนี้อดีตนายกทักษิณก็เคยมาบอกเอาไว้ด้วย

ถ้าอย่างนั้นลองอ่านดูนะครับ........ย้อยกลับไปเมื่อช่วงปี 2548 การเลือกตั้งในครั้งนั้นพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงที่ถล่มทลายถึง 375 ที่จากทั้งหมด 500 ที่ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่มีการเลือกตั้งขึ้นในประเทศไทย   จึงทำให้อดีตนายกทักษิณมั่นใจมากในคะแนนเสียง 375 ของตนเอง   โดยไม่ต้องเรื่องห่วงเรื่องฝ่ายค้าน      ดังนั้นท่านจึงได้จัดตั้งพรรครัฐบาลเพียงพรรคเดียว  ทำให้พรรคที่เหลือทั้งหมดถูกดันไปเป็นฝ่ายตรงค้านหรือพูดง่ายๆคือดันไปเป็นฝ่ายตรงข้ามโดยปริยาย

นี่แหล่ะครับคือความผิดพลาดครั้งสำคัญที่แม้แต่อดีตนายกทักษิณเองก็ออกมายอมรับ!!!!!

เพราะอะไร ?  หลังจากนั้นถ้าจำกันได้ก็เกิดการก่อตัวของกลุ่มคนเสื้อเหลืองเกิดขึ้น  อดีตนายกทักษิณนั้นจึงได้ตัดสินใจยุบสภาในช่วงต้นปี 49 เพื่อคืนอำนาจให้กลับประชาชนเพื่อเลือกตั้งใหม่  แต่พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ฝ่ายค้านในขณะนั้นซึ่งหลักๆก็มีอยู่ 3 พรรค คือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน  รู้ตัวอยู่แล้วว่าถึงเลือกตั้งยังไงพรรคของตนเองก็แพ้แน่นอนไม่มีทางเอาชนะพรรคไทยรักไทยในขณะนั้นได้เลย     จึงได้ทำการบอยคอต ทำการลงสัตยาบันร่วมกันที่ไม่ส่งคนลงรับสมัครเลือกตั้งในครั้งนั้น   ทำให้การเลือกตั้งในครั้งนั้นไม่มีพรรคการเมืองใหญ่ๆลงเลือกตั้งเลย  แถมในหลายพื้นที่ซึ่งมีพรรคเล็กๆลงชิงชัยกลับถูกพรรคการเมืองบางพรรคข่มขู่ หรือจ้างไม่ให้ลงรับสมัครเลือกตั้งอีกต่างหาก    ทำให้ในหลายพื้นที่กลายเป็นว่าพรรคไทยรักไทยลงอยู่อยู่แค่พรรคเดียวโดยเฉพาะในภาคใต้

ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากการที่พรรคไทยรักไทยนั้นตั้งรัฐบาลพรรคเดียวแล้วผลักพรรคชาติไทยกับพรรคมหาชนไปเป็นฝ่ายค้านเเหล่ะครับ  ซึ่งแต่อดีตนายกทักษิณเองก็ยังออกมายอมรับว่าตนเองนั้นคิดผิดที่ไม่ยอมเอาพรรคเล็กมาร่วมเพราะมั่นใจในคะเเนนเลียงของตัวเอง   แต่ใครจะคิดว่ามันจะเกิดกรณีแบบนี้เกิดขึ้น 

และนี่คือเหตุผลหลักอีกข้อครับว่าทำไมถึงต้องดึงพรรคอื่นมาร่วมด้วย   เหมือนที่หลายท่านคงได้ยินข่าวมาบ้างตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่าต่อให้พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกมีคะแนนเสียงถล่มทลายขนาดไหนก็ตามก็ยังจะดึงพรรคอื่นเข้าร่วมรัฐบาลอยู่ดี  เปรียบเหมือนแจกันดอกไม้ที่ยังไงก็ต้องมีใบเฟิร์นมาประดับด้วยอยู่ดี

....คบเอาไว้เพื่อเป็นมิตร ดีกว่าผลักไปเป็นศัตรู....