เห็นในโลกไซเบอร์
ออกมาเรียกร้องกันใหญ่
ว่า "หยุดซ้ำเติม" "หยุดกระแนะกระแหน"
และหยุด "ลัทธิความเกลียดชัง" ในสังคมไทยกันเสียทีเถอะ
โดยที่ไม่มองไปที่ปฐมบทของมันเลย
ว่าไอ้ "ลัทธิความเกลียดชัง" นั้นมันมาได้ยังไง
ผมว่ามันก็คงต้องดูก่อนครับ
ว่า "ลัทธิความเกลียดชัง" นั้น
จุดเริ่มต้นของมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ ???
ก่อนหน้านี้การเมืองไทยมันก็เกลียดกันครับ
แต่มันไม่ได้จริงจังอะไรเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์
เคยอภิปรายเรื่อง "สัญชาติ" ของบรรหาร
ขุดกันไปจนถึง "เต็กเชียง แซ่เบ๊" ว่ากันถึงบรรพบุรุษ
แต่ชำนิกับบรรหารก็ไม่ได้เกลียดกันจนไม่เผาผี
เนวิน ชิดชอบ เคยเปิดเวทีปราศัยที่บุรีรัมย์
และพูดเป็นภาษาเขมรว่า "จะเตะก้านคอไอ้เตี้ย"
ผมก็ยังเห็นเนวิน กับ บรรหาร ร่วมรัฐบาลกันได้
สิทธิชัย กิตติธเนศวร
กับ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์
แม้จะห้ำหั่นกันแทบเป็นแทบตาย
แต่ก็ไม่ได้เกลียดชังกันจนเป็น "ลัทธิความเกลียดชัง"
ไตรรงค์ สุวรรณคีรี กับ เกรียง กัลตินันท์
ชี้หน้าขึ้นภาษาพ่อขุนรามกันในสภาฯชนิดสดๆออกทีวี
แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดต้องมาฆ่าแกงกัน อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้
แต่กรณีของ "สีเสื้อ"
ที่กลายมาเป็น "ลัทธิความเกลียดชัง" นั้น
มันก็ต้องยอมรับว่าการปฏิวัติเมื่อครั้ง 19 กย.มีผลอย่างมากจริงๆ
หลายคนไม่ได้ชอบตัวตนของแม้ว
แต่ชอบในการทำงานของแม้วมัน
ค่าที่ว่าแม้วมันไม่ได้มีแค่ราคาคุยเหมือนบางพรรค
ในปี 2540 ก่อนที่เขาจะออกไปใช้สิทธิ์นั้น
เขาก็คงไตร่ตรองแล้วเป็นอย่างดีแล้ว
ในเรื่องของนโยบายระหว่างแม้ว และ มาร์ค
หลายคนเคยให้โอกาสพรรคมาร์ค
ที่ตอนนั้นนำทัพโดย ชวน หลีกภัย
ทดลองทำงานรับใช้มาแล้วถึง 2 ครั้ง
แต่พรรคของมาร์คทำให้พวกเขาผิดหวังทั้ง 2 ครั้ง
ที่หนักหนาที่สุดก็คงเป็นเรื่อง สปก.4-01
ที่เอาที่ดินที่ควรให้คนจน ไปให้กับคนรวย
แถมยังมีนโยบายเศรฐกิจที่พิสูจน์แล้วผิดพลาด
จนตอนนั้นเล่นเอามองหน้ากันแทบไม่ติดภายในพรรค
เพราะชวนตัดสินใจเลือกข้าง...คือธารินทร์
และได้โดดเดี่ยว "ดร.ซุป" ศุภชัยออกไป
พรรคของมาร์คทำงานไม่เข้าตาพวกเขา
เมื่อพวกเขามีทางเลือกใหม่ ที่มีนโยบายที่ (พวกเขามองว่า) เป็นรูปธรรมกว่า
พวกเขาก็ตัดสินใจใช้สิทธิ์แห่งคะแนนเสียงของพวกเขาเลือกแม้ว
เพราะหวังจะให้แม้วมาทำงานรับใช้พวกเขา...
และแน่นอนว่าต้องทำให้ดีสมราคาคุยด้วย
ผ่านไป 4 ปี....
แม้วรับใช้พวกเขามาแล้ว 1 สมัย
ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็รู้สึกพอใจในการทำงานของแม้วมัน
และทำให้พวกเขาทเคะแนนเลือกแม้วมันซ้ำอีกจนได้ 300 กว่าเสียง
แต่กลับโดนตราหน้าว่าเป็น "เผด็จการทางรัฐสภา"
และตามมาด้วยการปฏิวัติ 19 กย.49
ไม่นับเรื่องบ้าๆอีกมากมาย
เช่นการใช้ระบบตุลาการภิวัฒน์
ยุบพรรคโน่น พรรคนี้ จนแทบหมด
แต่พรรคเก่าแก่ชนะฟาวล์ เพราะคดี "หมดอายุความ"
ไม่นับการตกเก้าอี้ของสมัคร
เพราะดันทำกับข้าวเก่ง และไปทำกับข้าวออกทีวี
ไม่นับเรื่องการยุบพรรคจนทำให้สมชายตกเก้าอี้
ไม่นับเรื่องบ้าๆ
ประเภทต้อนหัวหน้าพรรคอื่นๆเข้าค่ายทหาร
แล้วก็ออกมายืนกอดกันกลมที่โรงแรมสยามซิตี้
จนได้ภาพประหลาดๆที่อภิสิทธิ์ยิ้มเฝือๆตอนกอดกับเนวิน
แล้วก็ตั้งรัฐบาลก็ทำงานมาจน 2 ปีนี่แหละ
ไม่นับเรื่องการแก้กฏหมายเลือกตั้ง
ที่แก้กันจนฝ่ายตัวเองพออกำพอใจ
แต่ก็ยังแพ้เลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นแหละ
ไม่รับเรื่องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
เอาฉบับหน้าแหลม ฟันดำ ทีก็คงพอรู้กันอยู่ว่าสนับสนุนพรรคไหน
ไม่นับเรื่องการทำงาน
ที่มีคนบางส่วนมองว่า "ดีแต่พูด" และ "ไร้ฝีมือ"
"ลัทธิความเกลียดชัง"
มันมีเหตุและผลในตัวครับ
ไม่ใช่จู่ๆพวกเขาอยากจะ "เกลียดชัง"
หรือเห็นแม้วเป็นพ่อแบบที่เสื้อเหลืองกระแนะกระแหน
เพราะพวกเขาคงไม่ได้รู้สึกอะไรกับตัวตนของแม้วในสิ่งที่แม้วเป็น
เนื่องจากแม้วมันก็แค่มนุษย์ธรรมดาที่มีทั้งดีและแย่ในตัวตน
แต่พวกเขาคงจะชอบในสิ่งที่แม้วมันทำไว้ตลอดเวลาแห่งการรับใช้
พวกเขาออกไปใช้สิทธิ์ในการไปเลือกพรรคของแม้ว
ซึ่งทำให้แม้วมันได้เสียงกว่า 14 ล้านเสียง (ในตอนนั้น)
พวกเขาจึงอยากให้แม้วทำงานให้จนหมดสมัย หมดอายุรัฐบาล
หากถึงตอนนั้นแล้ว แม้วทำงานแย่ลง ไม่เป็นเหมือนราคาคุย
พวกเขาก็อาจจะปลี่ยนทางเลือกไปเลือกมาร์คก็เป็นได้
เพราะในบ้านเรามันมีแค่ 2 พรรคที่ดูดี มีราคาที่สุด
แต่ไม่ใช่เล่นวิธีใต้ดิน
ทั้งปฏิวัติ ทั้งตั้งองค์กรอิสระมาเช็คบิล
ทั้งตั้งรัฐบาลแบบพิลึกกึกกือ กอดกันกลมที่ รร.สยามซิตี้
พวกเขาใช้สิทธิ์ในคะแนนเสียงนั้น
ด้วยการยืนเคียงข้างคนที่เขาเลือกเพื่อมาทำงานรับใช้เขา
แต่กลับถูกคนบางส่วนใช้ "กฏหมู่"
ปลุกม๊อบออกมายึดโน่น ยึดนี่ และมาปล้นเอาคะแนนเสียงไป
แล้วแบบนี้มันจะไม่มี "ลัทธิความเกลียดชัง" ได้ยังไงละครับ
ก็เพราะอีกฝ่ายเล่นไม่เคารพสิทธิ์แห่งคะแนนเสียงของเขา
และเลือกที่จะเหยียดหยามคะแนนเสียงของเขา และ "เกลียดชัง" เขาก่อน
พอกระแสลมเปลี่ยนทิศ
และยิ่งลักษณ์ทำท่าจะได้เป็นนายกฯ
คราวนี้ก็มีเสียงเรียกร้องให้ปรองดอง
ไม่ให้มีการเช็คบิลแต่งตั้งโยกย้ายคนทำงานทันที
มีการจุดพลุเรื่องปรองดอง สมานฉันท์
ทั้งๆที่ คกก.ชุด คณิต ณ นคร ก็เคยเสนอไปแล้ว
ทั้งๆที่ คกก.ชุด อานุนทน์ ปัณยารชุณ ก็เคยเสนอไปแล้ว
แต่เป็นการเสนอที่ไม่เคยได้รับการเสนอจากรัฐบาลเลย
ตอนที่ตัวเองมีอำนาจ
ก็กระทืบฝ่ายตรงข้ามจนบอบช้ำ หน้าตาบวมปูด
แต่กลับกระทืบไป แล้วร้องหาความปรองดองไป
จะให้เขารักคุณได้ยังไงล่ะครับ
หากว่าคุณทั้งเตะ ทั้งต่อยเขาเละเทะขนาดนั้น
ถึงคราวที่เขามีโอกาสทำคืนบ้าง
ผมว่าเขาก็ต้องทำเช่นกัน ...ไม่ต่างจากที่คุณทำไว้
"ปรองดอง" มันเป็นวาทกรรมที่ไม่มีจริง
นับตั้งแต่วันที่ 19 กย.2549 แล้วครับ
ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามปัจจัยที่มีอยู่
และเป็นไปตามเหตุ ตามผล ตามการกระทำก่อนหน้าทั้งสิ้น !!!
ไม่แปลกเลย
ที่จะมีคนด่ายิ่งลักษณ์ไว้ล่วงหน้า
ด่าชนิดสาดเสีย เทเสีย ถึงขั้นจิกหัวว่า"E"
และก็ไม่แปลกเลย
ที่มีคนซ้ำเต็มอภิสิทธิ์กันอย่างที่เป็นอยู่
เพราะ "ผล" ที่เกิดขึ้น
มันมาจาก "เหตุ" ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ครับ
หากอยากจะเอาชนะกัน ผมว่าก็ไม่ยากเลยครับ
ก็แค่ไปทำอย่างไรก็ได้ ที่จะหาคนไปลงคะแนนเลือกตั้ง
จนพรรคที่ตนเองชอบได้เสียงข้างมากเป็นรัฐบาล...เท่านั้นเอง..
หากเราต่างเคารพสิทธิ์ของกันและกัน
รอเวลาและลงโทษนักเลือกตั้งตามกระบวนการ
ด้วยการไม่เลือกเขา และเปลี่ยนไปเลือกพรรคตรงข้าม
ประเทศชาติมันก็คงไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้หรอกครับ !!!
แต่ไม่ใช่มาเพาะเชื้อ
และรดน้ำพรวนดิน "ลัทธิความเกลียดชัง" ในแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
"ปฐมบท" ของมันอยู่ตรงไหน น่าจะพอมองออกนะครับ