ค่าแรงเพิ่ม 300 กับเงินเดือนเพิ่มเป็น 15000 ฟังดูก็น่าตื่นเต้นแล้ว

ไม่รู้ว่าจำนวนผู้ที่ได้รับเพิ่มนี้สักเท่าไร

ถ้า 1 คน 300  1 ล้านคนก็ 300 ล้าน หากผู้ใช้แรงงาน ในประเทศ มีสัก 10 ล้านคน

วันนึงรายได้ผู้ใช้แรงงานรวมก็จะ 3000 ล้าน

รายได้เพิ่มผู้ใช้แรงงานจะมีความสามารถในการซื้อสินค้าเพิ่ม

จะมีการใช้จ่ายมีความต้องการสินค้าต่อวันมากมาย ตลาดจะขยาย

น่าจะทำให้เกิดการลงทุนเพิ่ม การสร้างงานจ้างงาน

คงไม่มีพ่อค้าหรือนักลงทุนที่ไหน จะมาลงทุนหากไม่มีกำลังซื้อ

หากกำลังซื้อที่มีมากขึ้นตลาดโตขึ้น จำนวนที่ผลิตก็จะขยายเพิ่มมากขึ้นตาม

ค่าแรงแพงขึ้นถึงดูว่าจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้นทำให้กำไรต่อหน่วยลด

แต่ก็จะมีจำนวนผลิตที่มากขึ้นทดแทนเป็นส่วนที่ทำรายได้ทำกำไรเพิ่ม

คงไม่มีนักลงทุนที่ไหน ย้ายฐานผลิตหนีตลาดที่มีผู้บริโภคที่มีแรงซื้อมัง

เพราะดูง่ายๆที่ บริษัทต่างชาติมาลงทุนบ้านเรา ส่วนมากเพื่อขายในบ้านเรา

คงเป็นการลดต้นทุนการขนส่งไปในตัว เรื่องภาษีนำเข้าอีก

และที่สำคัญรัฐบาลไทยกี่รัฐบาลที่ผ่านมาก็บ้าจี้คอยคุมเรื่องค่าแรงเอาไว้ให้เป็นอย่างดี

เหมือนกลัวว่าแรงงานจากชาวบ้านจะไปเอาเปรียบนักลงทุนยังงั้นแหละ

ลองไปถามสิ ทั้ง แปบซี่ ทั้ง โค๊ก ทั้ง โตโยต้า ฮอนด้า อะไรพวกเนี่ย หากขึ้นค่าแรงแล้ว

จะมีใครย้ายหนีไปผลิตที่อื่นกันมั่ง มีแต่จะรีบหาทางกันว่าจะทำกำไรกับแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นนี้ยังไง

ซึ่งวิธีการที่ง่ายที่สุดที่เราก็เห็นๆกันอยู่ คือเพิ่มราคาสินค้าขึ้น เอากันง่ายๆแบบนี้แหละมาทุกที

โดยรวมแล้วเมืองไทยเรายังไงก็ยังเป็นสวรรค์ของนักลงทุน ทั้งทางตรงทางอ้อม

ความเสี่ยงต่างๆของการลงทุนแทบไม่มี นโยบายรัฐบาลที่ส่วนมากเป็นผลบวกกับการลงทุนเสมอ

เรื่องภาษี เรื่องค่าแรง ก็ไม่ต้องมานั่งทะเลาะด้วย มีรัฐบาลเป็นเกาะคุ้มครองให้

ถามจริงๆประชาชนมีแรงซื้อเพิ่มตลาดขยายใครจะย้ายหนี

นอกจากเพิ่มค่าแรงแล้ว กลุ่มที่จะได้รับการเพิ่มเงินเดือนอีก

จะมีความต้องการซื้อเพิ่มอีกวันละเท่าไร เดือนละเท่าไร

น่าแปลกมากๆที่กลับมีคนออกมาบอกว่านักลงทุนจะย้ายหนีตลาดที่มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น

เพราะเหตุผลแค่ว่า กลัวการเพิ่มค่าแรง

คิดว่านักลงทุนที่เป็นนักลงทุนจริงๆน่าจะมองว่า ค่าแรงที่ต้องจ่ายเพิ่มไป

ก็คือความสามารถในการซื้อการบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้นทดแทนหมายถึงปริมาณการขายที่เพิ่ม

มีแต่กำไรเห็นๆ เงินกำลังจะลอยอยู่ในอากาศเห็นๆ