ต้องขอแสดงความยินดีกับคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจนได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น
และสิ่งที่น่ายินดียิ่งกว่านั้นก็คือ พรรคเพื่อไทยได้ก้าวสู่การเป็นพรรคการเมืองที่มีแฟนคลับ (ดังเช่นพรรครีพับลิคกัน และเดโมแครต หรือ เลเบอร์ และ คอนเซอร์เวทีฟ)
การถูกยุบพรรคสองครั้ง รัฐประหารหนึ่งครั้ง ถูกทรยศครั้งใหญ่ และโดนเตะตัดขาอีกนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยระยะเวลาที่ต่อเนื่องถึง 5-6 ปี แล้วยังได้คะแนนเสียงขนาดนี้ ถ้าไม่เรียกว่าแฟนคลับหรือคนรักกันจริงแล้วก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
และแม้ว่าชัยชนะในครั้งนี้จะมีส่วนผสมที่เนื่องมาจาก การบริหารงานที่ล้มเหลวของประชาธิปัตย์ , ความคับแค้นใจของผู้ถูกระทำ , การโหยหาการเลือกตั้งของผู้คนจำนวนมาก , พลังเงียบของคนที่มีใจเป็นธรรม ฯลฯ
แต่ทว่าสาเหตุหลัก ๆ ก็คงมาจากความประทับใจผลงานที่ผ่านมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทยทั้งนโยบายใหม่ ๆ ที่ออกมาโดนใจมากกว่าพรรคคู่แข่ง รวมถึงความเชื่อมั่นว่าเพื่อไทยคงสามารถผลักดันนโยบายหลายอย่างให้ใกล้เคียงกับความจริงโดยดูจากผลงานในอดีต
เมื่อ "เพื่อไทย" มีโอกาสที่งามขนาดนี้ ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าจะสามารถบริหารศรัทธาประชาชนได้ขนาดไหน
อย่าลืมว่าคนที่ชอบ "ไทยรักไทย" "พลังประชาชน" และ "เพื่อไทย" เป็นกลุ่มคนที่ชอบเพราะนโยบายเพราะผลงาน เพราะสัมผัสได้ว่าประชาธิปไตยกินได้นั้นมีจริง (แต่อาจจะมีตัวเร่งคือพวกสื่อ พวกนักวิชาการเลือกข้าง คนกลุ่มน้อยแต่เสียงดัง และผู้มีอำนาจระดับบนทั้งหลาย ที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าถูกลิดรอนสิทธิ์ ถูกทำให้ไม่มีปากเสียงในสังคม เลยปะทุออกมาเป็นปฏิกิริยาต่อต้าน)
ดังนั้นต่อไปถ้า "เพื่อไทย" บริหารงานไม่ดี ล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เชื่อได้เลยว่าประชาชนกลุ่มนี้ไม่เอาด้วยแน่ เพราะคนที่เลือกเพื่อไทยส่วนใหญ่นั้นเลือกจากนโยบายจากผลงาน ไม่พวกทู่ซี้หรือภูมิภาคนิยมที่หลับหูหลับตาว่าถ้าเป็นพวกเดียวกันแล้วเอาเสาไฟฟ้าลงก็เลือก
และนั่นจะเป็นการสลายมวลชนที่สนับสนุนที่มีอานุภาพมากกว่าการใช้กำลัง การรัฐประหาร หรือการกัดเซาะด้วยอำนาจนอกระบบใด ๆ
เมื่อประชาชนเป็นกำแพงให้เอาหลังพิงเช่นนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า "เพื่อไทย" จะใช้โอกาสทองนี้อย่างไร พึงตระหนักว่า การได้ใจแฟนคลับย่อมสำคัญกว่าการเอาใจกลุ่มก๊วนทางการเมือง ตัวชี้วัดที่ดีในเรื่องนี้เห็นได้จาก กระแสของการเลือกตั้งครั้งนี้ที่ชนะกระสุนขาดลอย ทั้งยังกวาดบรรดางูเห่าและขาใหญ่ผูกขาดในพื้นที่ตกขอบเวทีเป็นจำนวนมาก
บททดสอบแรกในเรื่องนี้ของเพื่อไทยก็คือ การฟอร์มทีม รมต. อย่าลืมประชาชนเฝ้าดูอยู่ !
นโยบายเก่า ๆ ที่เคยทำไว้ดีแล้วไม่ว่าจะเป็น 30 บาท , โอทอป , ฯลฯ ที่ฟุบไปในสมัย ปชป. ก็ขอให้ดำเนินการต่อไป
สำหรับนโยบายประชานิยมที่ ไทยรักไทย เคยทำไว้อย่างกลมกล่อมพอเหมาะพอดี แต่ถูกนำมาละเลงจนเลอะเทอะด้วยประชานิยมที่ไม่มีอนาคตฉบับ ปชป อย่างประเภท แจกเงิน2000 เอย , แจกเงิน อสม. เอย , ขึ้นเงินเดือน อบต. เอย , ถลุงเงินโดยการจัดอีเวนท์ฉาบฉวยในไทยเข้มแข็งเอย ประชานิยมต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อไทย เพลา ๆ หน่อยก็ได้ ที่เคยทำมาก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปประกวดประขันให้เป็นภาระประเทศหรือให้คนเสพติดมากขึ้น รักษาจุดเด่นของตนเรื่องการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและความขันแข็งในการแก้ปัญหาสังคมเท่านี้ก็ได้ใจประชาชนเป็นไหน ๆ
ส่วนนโยบายใหม่ ๆ ที่ได้ประกาศก็ขอเอาใจช่วยให้ประสบความสำเร็จ เพราะหลายนโยบายนั้นดูมีอนาคต เช่น การกระจายความเจริญออกจาก กทม. , การถมทะเลเพื่อสร้างเมือง , การผันน้ำโขงมากักเก็บไว้เพื่อการเกษตร (แนวคิดของอดีตนายกฯสมัคร) หรือแม้แต่เรื่อง ค่าแรง 300 บาท นโยบายต่าง ๆ เหล่านี้หลายอันต้องใช้เวลาและดำเนินการอย่างรอบคอบ แต่เพื่อไทยต้องแสดงออกถึงความพยายามที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แม้จะมีขั้นตอนบ้าง คิดว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเข้าใจ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้ประกาศสักหน่อยว่า วันแรกทำทันที หรือ 99 วันทำได้จริง ดังนั้นจึงต้องมีเวลาศึกษาและเตรียมการอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาที่จะติดตามมา
(ขอนอกเรื่องนิดเรื่องนโยบายค่าแรง 300 บาท นโยบายนี้ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นประโยชน์และทำได้จริง เพราะสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันนั้น 300 บาทถือว่าไม่มากเกินไปเลย
แต่ทั้งนี้ขอให้ตระหนักถึงปัญหาแรงงานต่างด้าว ปัจจุบันแรงงานต่างด้าวในประเทศมีมากมายมหาศาล ในเมืองใหญ่ ๆ อย่างเชียงใหม่ หรือ กทม.แถบชานเมือง หาแรงงานไทยแทบไม่เจอ
รัฐบาลควรจำกัดเรื่องแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาใหม่และเข้มงวดเรื่องการลักลอบเข้าเมืองอย่างจริงจัง เพราะคนเหล่านี้เข้ามาแล้วออกไปยากมาก ที่สำคัญคือลูกหลานที่เกิดมาจะเป็นปัญหาในระยะยาว เพราะเด็กเกิดที่นี่ โตที่นี่ แต่เป็นคนไม่มีสัญชาติ ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีการศึกษา ซึ่งจะเป็นปัญหาสังคมติดตามมา อีกทั้งถ้าแก้ไขเรื่องแรงงานต่างด้าวไม่ได้ก็ยากที่จะผลักดันให้นโยบายเรื่องค่าแรงให้เกิดผลในทางปฏิบัติ)
ที่สุดนี้อยากบอกอีกครั้งว่า เอาใจช่วยให้พรรคเพื่อไทยสร้างผลงานและพัฒนาประเทศให้สมกับที่ประชาชนไว้ใจ อย่าลืมว่าพรรคเพื่อไทยนั้นไม่มีอำนาจอื่นใดเลยที่ช่วยค้ำยันหรืออุ้มชู ที่ขึ้นมาได้ก็เพราะการสนับสนุนของประชาชนล้วน ๆ พลังประชาชนจึงเป็นเพียงพลังอำนาจเดียวที่พรรคเพื่อไทยมีอยู่ ดังนั้นอนาคตต่อไปของ เพื่อไทย จึงขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจะประจักษ์ในคุณค่าและคงการสนับสนุนต่อไปหรือไม่