วันนี้ (22 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้าการถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะ โบอิ้ง 737 จากประเทศเยอรมนีว่า ข้อมูลหลักฐานที่อัยการเสนอต่อศาลเยอรมนียืนยันว่าเครื่องบินเป็นทรัพย์สิน ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ไม่ใช่ของกองทัพไทย จะมายัดเยียดว่าเป็นของกองทัพอากาศได้อย่างไร ซึ่งในบัญชีรายชื่อเครื่องบินของกองทัพอากาศก็ไม่มีเครื่องบินลำนี้อยู่ในบัญชีตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 2007 จึงมั่นใจว่าจะสามารถนำเครื่องบินกลับมาได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่ามัดจำแม้แต่บาทเดียว อ
ย่างไรก็ดีสำหรังเงินประกันที่ศาลเยอรมนีมีคำสั่งอายัดเครื่องบินตามข้อกฎหมายแพ่งประเทศเยอรมนีนั้น ทรัพย์ที่ถูกอายัดและไม่มีคำสั่งเพิกถอน เราสามารถใช้หนังสือค้ำประกันจากธนาคารไปค้ำประกันโดยไม่ต้องวางเงินสด 20 ล้านยูโร เสียค่าธรรมเนียมเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ของวงเงิน นายจุลสิงห์กล่าวต่อไปว่า เหตุผลที่ศาลเยอรมนีสั่งอายัดเครื่องบินไว้ชั่วคราว เพราะมีข้อมูลจากเว็ปไซต์เอกชนที่ไหนก็ไม่รู้ ระบุว่ากองทัพอากาศยังมีเครื่องบินลำนี้อยู่ แต่เรามีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของไทยที่ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ดังนั้น วันนี้หากพูดถึงพยานหลักฐานที่มีอยู่ ยืนยันว่าเครื่องบินเป็นของสมเด็จพระบรมฯ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ต้องรอกระบวนการพิจารณาของศาลเยอรมนี ส่วนการพิจารณาคดีนั้นอัยการร้องขอให้ศาลเร่งพิจารณาคดีเร็วขึ้นให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคมนี้
ส่วนขั้นตอนการพิจารณาไต่สวนพยานทั้งสองฝ่ายจะทำภายใน 1 วัน ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอบัญชีพยานต่อศาลเยอรมนีไปแล้วจำนวน 3 คน เช่น เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศ ซึ่งเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์การถวายเครื่องบินโบอิ้ง 737 เป็นพระราชพาหนะ และเจ้าหน้าที่กรมการบินพลเรือนที่รู้เรื่องการจดกรรมสิทธิ์ นอกจานนี้ยังมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายเครื่องบินเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในบัญชีกอง ทัพอากาศ พร้อมทั้งใบทะเบียนแสดงกรรมสิทธิ์ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องรอฟังว่าศาลจะกำหนดฟังคดีเมื่อใด โดยฝ่ายอัยการได้ประสานขอให้เร่งรัดพิจารณาคดีให้เสร็จภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
นายจุลสิงห์กล่าวอีกว่า อัยการพิจารณาแล้วจะต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ เนื่องจากเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเฉพาะหน้าของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยตนเป็นผู้ดูแลเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าอัยการเตรียมดำเนินการฟ้องกลับใครบ้างหรือไม่ นายจุลสิงห์กล่าวว่า มีแน่นอน 2 ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการยึดอายัดเครื่องบินผิดลำ และเรื่องเนื้อหาในคดี ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดตั้งทีมงานขึ้นมาทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องใครบ้างคงจะเปิดเผยให้ทราบอีกครั้ง แต่ในส่วนของบริษัทวอลเตอร์บาวฟ้องให้รัฐบาลไทยชำระเงินตามคำวินิจฉัยอนุญาโตตุลาการนั้น ยืนยันว่าคดียังไม่จบ โดยจะมาบอกว่ารัฐบาลไทยดื้อแพ่งไม่จ่ายเงินไม่ได้ ซึ่งในเรื่องนี้ได้เตรียมยื่นอุทธรณ์ในช่วงปลายเดือนนี้ ถ้าถึงที่สุดแล้วหากจะแพ้คดีหลักเราก็ต้องยอมจ่าย ซึ่งเราเป็นประเทศไทย มีอยู่ในแผนที่ ไม่สามารถหนีออกไปนอกโลกได้
“สมเด็จพระบรมฯ ทรงรับรู้ความรู้สึกของคนไทย และอยากให้คนไทยเข้าใจว่าพระองค์ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดกฎการบิน ทรงทำถูกต้องทุกอย่าง ซึ่งท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับคดีที่รัฐบาลไทยกับบริษัท วอลเตอร์บาว มีคดีความต่อกัน โดยอัยการได้ถวายรายงานคดีความให้พระองค์ท่านทราบแล้ว ซึ่งคดียังไม่จบ รอยื่นอุทธรณ์อยู่ ส่วนเครื่องบินระหว่างนี้ยังจอดอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งพระองค์ท่านมีพระราชวินิจฉัยว่าไม่ต้องวางเงินประกัน
แต่รัฐบาลไทยก็พร้อมที่จะเอาเงินวางเพื่อจะนำเครื่องบินออกมาเพื่อถวายให้ท่านทรงใช้งาน แต่พระองค์ท่านไม่ประสงค์ให้นำเงินของรัฐบาลไทยไปวาง” อัยการสูงสุดกล่าว
อ้างอิงและเนื้อหาข่าวเพิ่มเติม
ผู้จัดการออนไลน์ เดลินิวส์ออนไลน์ จากเนื้อหาที่สำคัญ จะทำให้เห็นว่าการให้สัมภาษณ์ของอัยการสูงสุดนั้น มีแนวทางที่จะใช้หนังสือค้ำประกันจากธนาคารไปค้ำประกันแทนกาวางเงินสด 20 ล้านยูโร ซึ่งผมมองแล้วมันเป็นเรื่องของเทคนิคการค้ำประกัน และเรื่องที่รัฐบาลไทยพร้อมที่จะเอาเงินวางเพื่อที่จะนำเครื่องออกมาเพื่อถวายให้ทรงใช้งาน ก็เป็นแนวคิดที่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกจากทางการไทยเองที่พร้อมจะปฏิบัติ