
มีคำกล่าวว่า ถ้าเอาคนไม่เป็นงานมาทำงาน แทนที่จะได้งานก็จะไม่ได้ แต่จะได้ปัญหาเข้ามาแทน
คำกล่าวนี้เห็นได้ชัดจากกรณี "พระวิหาร - โบอิ้ง 737"
"พระวิหาร - โบอิ้ง" ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนวกวนสับสนอลเวง
เพราะ "คน" แท้ ๆ คนที่ไม่เอาไหนในการทำงาน คนที่ไม่เอาไหนในการบริหาร
นอกจาก "ดีแต่พูด" ไปวัน ๆ
โปรดอ่าน
...........................
กรณี เขาพระวิหาร ถึง เครื่องบิน โบอิ้ง 737 บทเรียน การบริหาร
ไม่ว่าการอันเกี่ยวกับการยึดและอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ณ สนามบินมิวนิก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ไม่ว่าการอันเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร
1 เป็นเรื่องอันเกี่ยวกับคดีความ 1 เป็นเรื่องอันสัมพันธ์กับการเมืองระหว่างประเทศ และ 1 ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมากเป็นเรื่องอันเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
คำถามก็คือ จะบริหารจัดการอย่างไรให้สามารถยุติได้โดยราบรื่น
กล่าวสำหรับกรณีการยึดและอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ก็คือ ทำอย่างไรให้สามารถนำเอาเครื่องบินออกมาจากการถูกยึดและอายัด
กล่าวสำหรับกรณีปราสาทพระวิหาร ก็คือ ทำอย่างไรให้สามารถเดินหน้าไปโดยไม่กระทบกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่สำคัญก็คือ ไม่จำเป็นต้องลากปืนออกมากระหน่ำยิงเข้าใส่กัน
นี่ล้วนท้าทายคนเป็น "นักบริหาร" นี่ล้วนท้าทายคนอาสาเข้ามาเป็น "นายกรัฐมนตรี"
กรณีอันเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารมากด้วยความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง กรณีอันเกี่ยวกับการยึดและอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ยิ่งมากด้วยความละเอียดอ่อน
ละเอียดอ่อนเพราะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
กรณีปราสาทพระวิหารเป็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกันมาอย่างยาวนาน
กรณีโบอิ้ง 737 เป็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
คำถามเบื้องต้นสำหรับนักบริหารโดยทั่วไป ไม่ว่าจะจบจากโรงเรียนพณิชยการข้างถนนหรือจบจากสำนักวอร์ตัน คือจะยุติเรื่องได้โดยเร็วอย่างไร
ยุติโดยไม่กระทบกระเทือนถึงอธิปไตยในกรณีของปราสาทพระวิหาร ยุติโดยไม่กระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ถามว่ารัฐบาลได้กระทำเรื่องบนพื้นฐานนี้หรือไม่
น่าเศร้าที่การอันเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารไม่เพียงแต่นำไปสู่การสู้รบและยังความสูญเสียให้กับประชาชนบริเวณพรมแดนทั้งไทยและกัมพูชา
หากเรื่องยังไปถึงสหประชาชาติ และสหประชาชาติมอบให้อาเซียนดูแล
หากเรื่องยังย้อนกลับไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี
พ.ศ.2502 อันนำไปสู่การพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาในปี พ.ศ.2505
ยิ่งเรื่องอันเกี่ยวกับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ยิ่งพึงสังวรอย่างเป็นพิเศษ เพราะในที่สุด สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ต้องทรงพระราชบัณฑูรมายุติโดยทรัพย์ส่วนพระองค์
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องซึ่งรัฐบาลก่อขึ้นโดยกระบวนการบริหารที่แทบไม่บริหารโดยแท้
ทั้งหมดนี้มิได้เป็นบทเรียนสำหรับพรรคการเมือง หากยังเป็นบทเรียนสำหรับประเทศไทยด้วย
เพราะหากพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งคัดสรรคนที่ไม่มีคุณภาพ คนที่ดีแต่พูด คนที่บริหารโดยการไม่บริหาร งานก็ย่อมจะเละเทะ บานปลาย เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
ก่อให้เกิดสภาพอัน "มิบังควร" ก่อให้เกิดสภาพอัน "ระคายเคือง" ติดตามมาอย่างที่เห็น
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dOakF6TURnMU5BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB3TXc9PQ==
กรณีโบอิ้ง
เมื่อวานก็ออกมาบอกว่าไม่ต้องใช้ราชทรัพย์ส่วนพระองค์แล้ว จะสู้ถึงที่สุดเพื่อเอาเครื่องบินออกมา
โดยการแสดงให้ศาลเยอรมันแน่ใจว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบในคดีอย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้สามารถถอนอายัดได้
และจะดำเนินการในคดีใหญ่ และเมื่อดำเนินคีดใหญ่ก็จะยกเลิกการอายัดเครื่องบินโดยปริยาย
ฟังแล้วก็มึน !!!
ไม่รู้อะไรเป็นอะไร
ถ้าทำงี้ได้ ทำไมพวกเอ็งไม่ทำซะตั้งนานว่ะ
เห็นไหมครับ ชัดไหมครับ
ว่าเอาคนทำงานไม่เป็นมาทำงานน่ะ แทนที่มันจะเป็นคุณ มันกลับเป็นโทษ
กับเขมรก็ด่าเขาฉอด ๆ ๆ ๆ กับเยอรมันก็วางท่าใหญ่ใส่เขา ว้ากเว้ยตำหนิเขาว่าผิด ๆ ๆ ๆ
ปัญหาเก่าไม่ได้รับการแก้ไข แต่กลับสุมปัญหาใหม่เข้าไปอีก
กับเขมร เรื่องเกิด 2551 แต่ต้องย้อนกลับไป 2505 กับเยอรมัน ด่าเขาปาว ๆ สุดท้ายก็ต้องแจ้นไปหาเขา
โชคดีฉายหิบเลยว่ะประเทศไทย
จริงมั๊ยเปรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม......
