ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ ฝ่ายผู้สูญเสีย พยายามเรียกร้องหาความเป็นธรรมในการสูญเสีย ของเขาและพวกพร้อง โดยการหาผู้กระทำผิด มารับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหน้าที่ ของ จนท.สอบสวน ระดับปรกติ หรือ ดีเอสไอ ก็ตาม สำนวนการสอบสวนจะออกมาได้เพียงประการเดียว คือสาเหตุมาจากคำสั่งให้ปฎิบัติการในสถานะการณ์ฉุกเฉิน ของ รบ.อภิสิทธิ์ โดยความเสียหายต่างๆ ก็มาจากเหตุสุดวิสัยที่เลี่ยงมิได้ ของ จนท. ผู้ปฎิบัติการ อันหมายถึงไม่มีโอกาสใดๆ ที่ให้อัยการยื่นฟ้องคดี กับเขาเหล่านี้ได้ หรือแม้แต่จะจากความรุนแรงของการปฎิบัติการก็ตาม จากสภาวะฉุกเฉิน โดยมี พรก.ฉุกเฉิน คุ้มครองการปฎิบัติการให้มีประสิทธิภาพ อันทำให้ไม่ง่ายที่จะทำให้ การปฎิบัติการ เข้าข่ายการกระทำผิด กฎหมายอาญา หรือ อำนาจหน้าที่ ส่วนผู้ออกคำสั่งอนุญาตให้มีการปฎิบัติการ คือ รบ.อภิสิทธิ์ และการออกคำสั่ง เป็นสิทธิอำนาจในการบริหารราชการ ในสถานะการณ์ฉุกเฉิน (พรก.ฉุกเฉิน) ทำให้การออกคำสั่ง มิใช่การกระทำผิดตามกฎหมาย หรืออำนาจหน้าที่ อันก็จะเป็นเหตุให้ไม่สามารถเกิดเป็น คดีความกับ รบ.อภิสิทธิ์ ขึ้นมาได้ ครับ

ฉนั้นตามปรกติแล้ว จากสถานะการณ์ที่บังเกิดขึ้น ปฎิกริยา ของ รบ.อภิสิทธิ์ ในกรณีนี้จึงไม่มีเหตุผลใดๆ กับการแสดงความรับผิดชอบใดๆ กับความเสียหายที่บังเกิดขึ้นจาก เหตุสุดวิสัย ของ จนท.ปฎิบัติการ ส่วนฝ่ายผู้เสียหายทั้งหลาย การเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบ ก็เป็นเสมือนการเรียกร้องให้ รบ.ยิ่งลักษณ์ และ สส.นปช. ในพรรค พท. พายเรือออกทะเลคลื่นจัด เพื่อหาฝั่งที่มองไม่เห็น จนกว่าจะหมดแรง อย่างมากก็คง ให้ความช่วยเหลือเยียวยา ปลอบอกปลอบใจให้ได้ เท่านั้นเอง แหละครับ

ความเสียหายของ ทรัพย์สินและสิ่งก่อสร้าง (ของนอกกาย) ยังสามารถให้เยียวยาชดเชยกลับคืนได้ ไม่ว่ามากหรือน้อย สมดุลย์หรือไม่ก็ตาม แต่ชีวิตอันมีค่าเสมอภาคของความเป็นมนุษย์ไม่สามารถชดเชยได้ ไม่ว่าจะมีผู้รับผิดชอบทางกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ฉนั้นการต่อสู้เพื่อสอดหาเอาผู้รับผิดชอบมาลงอาญา ตามกฎหมาย นั้นมิใช่การหาความเป็นธรรมกับผู้ที่สูญเสียไปแล้ว แต่เป็นการหาความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ยังอยู่รอด เพื่อเลื่ยงมิให้เกิดการสูญเสียในลักษณะเช่นนี้ ขึ้นอีกต่อไป เป็นสำคัญครับ

ในเมื่อ ปชช. ได้เลือกตั้ง ผู้แทนราษฎร ให้เป็นตัวแทนของตน ขึ้นมาแล้ว ปชช. หรือ กลุ่ม นปช. ก็ควรเร่งเร้าแสดงถึงความจำนงค์มอบหมาย ให้ สส. ดำเนินการเสริมสร้างประชาธิปไตย (รธน.) ให้มีสภาพความเป็นธรรมกว่าที่เป็นอยู่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน สำหรับอนาคตนับแต่นี้ไป หรือที่เรียกว่า เจตตนารมณ์ของประชาชน อันจะเริ่มโดยการตรวจสอบ ความไม่สมควร ไม่เป็นธรรม หรือไม่ถูกต้อง ของความถูกต้องใน รธน. นั่นเอง

๑.) ให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ตรวจสอบและพิจารณา ว่า การชุมนุมตามสิทธิอันชอบธรรม ของ รธน. โดยสันติอหิงสาห์ อย่างของ นปช. ที่ผ่านมา ไม่อยู่ในขอบข่าย หรือเจตนารมณ์ รธน. ของการตีความให้เป็น กรณีสถานะการณ์ฉุกเฉิน ได้

๒.) ให้รัฐสภา นำกรณี ประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน ของ รบ.อภิสิทธิ์ เปิดอภิปราย ถึง สาเหตุการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน รวมทั้งระบบขั้นตอน ของการประกาศใช้ และการต่อยื่นช่วงเวลา ตามสิทธิอำนาจ ของ รธน. อันครอบคุมถึง การใช้มติ ครม.โดยทันที ระดับการ ของการแจ้งขอมติรัฐสภา รวมทั้งการบริหารสั่งการ ประกาศใช้ ต่อช่วงเวลา และการยกเลิก โดยนำไปเทียบกับหลักเกณฑ์ ในบัญญัติ รธน.

๓.) ให้รัฐสภา ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ จนท.ปฎิบัติการ ศอฉ. ในระบบ บริหาร ออกคำสั่ง สิทธิอำนาจ และขอบข่าย การรับปฎิบัติการตามคำสั่ง รวมทั้ง บ/ช ค่าใช้จ่าย และอุปกรณ์ ในการปฎิบัติหน้าที่ ถึงความถูกต้องและโปร่งสัย

๔.) ให้ รบ.ยิ่งลักษณ์ มอบหมาย จนท.สอบสวนและดำเนินคดี กับหน่วยงาน และบุคคล ตามความรับผิดชอบต่างๆ ในกรณี เข้าข่าย กระทำผิดในหน้าที่ราชการ กระทำผิดสิทธิอำนาจ รวมทั้งกระทำผิดกฎหมายอาญา พร้อมมีการอภิปรายสด เพื่อเสนอความคืบหน้าในรัฐสภา และสื่อสารมวลชน

๕.) ให้ รบ.ยิ่งลักษณะ ให้ความสนับสนุนการปฎิบัติหน้าที่ ของ คอป. ให้สามารถเข้าถึง ข้อมูลและพยานหลักฐานต่างๆ ในกรณีสลายการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำต้องให้ ครม. พิจารณาอนุมัติเป็นกรณี ในกรณีที่อาจเป็นผลต่อความมั่นคง และเถียรภาพของประเทศ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของการให้ได้มาซึ่งข้อมูลอิสสระจาก หน่วยงาน ศอฉ.

การเปิดทางให้กับ ศาลโลก โดยการไปลงจรรยาบรรณ ในมุมผิวเผินก็อาจทำให้ การหาความเป็นธรรม ให้กับผู้เสียหาย แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ไม่ทำให้ความเป็นธรรมของ ระบบปกครอง โดย รธน. บังเกิดขึ้นได้ ฉนั้น ปชช. ผู้สามารถมีมติชน ให้ผู้แทนรับหน้าที่ปฎิบัติแทน ควรใตร่ตรองให้รอบคอบ ครับ