ต้องบอกว่าภาพที่ออกมามันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ สำหรับนายกรัฐมนตรีกำลังจะกลายเป็นอดีต ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะเดียวกันแม้จะไม่ได้ดูการแถลงส่งท้ายทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเมื่อคืนวานนี้ (4 สิงหาคม) ก็พอเดาออกได้ไม่ยากว่าส่วนใหญ่จะเป็นการอวดอ้างผลงานในระยะที่เป็นรัฐบาลมากว่า 2 ปี 6 เดือน สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจโดยจะเน้นตัวเลขการขยายเติบโต คุยฟุ้งว่าตัวเองนำพาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่ยังมีปัญหา มีคนว่างงานพุ่งสูง
สรุปก็คือกำลังบอกว่าตัวเองเก่ง ที่นำพาประเทศมาได้ถึงขนาดนี้ แม้ว่าจะเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก และวิกฤตการเมืองภายในที่หนักหนาสาหัส จากการเผาบ้านเผาเมือง แม้จะไม่ได้พูดระบุกันตรงๆ แต่รับรองว่าความหมายก็ต้องออกมาแบบนี้จริงๆ
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วตัวเองมีส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศและคนไทยต้องเสียโอกาส เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง เต็มไปด้วยปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน เพราะเป็นครั้งแรกที่คนไทยต้องเข้าคิวเพื่อซื้อน้ำมันปาล์มเพียงขวดเดียว
นั่นคือความเป็นจริงที่คนไทยประสบพบเจอตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี 6 เดือนภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ และกำลังฉวยโอกาสสร้างภาพในด้านบวกให้กับตัวเองจนนาทีสุดท้ายด้วยการใช้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแถลงผลงานไปเมื่อคืนวานนี้ (4 สิงหาคม) ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวก่อนที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการโหวตจากสภาผู้แทนราษฎรในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านั่นคือในตอนสายวันนี้ (5 สิงหาคม)
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาจากสภาพความเป็นที่เป็นอยู่มันก็สะท้อนให้เห็นตัวตนของอภิสิทธิ์ได้อย่างชัดเจนว่า เวลาเกิดปัญหาที่ต้องแก้ไขกันเฉพาะหน้า หรือช่วงเวลาที่ชาวบ้านต้องการกำลังใจกลับไม่เคยได้พบเจอจากผู้นำฝ่ายบริหารคนนี้ เห็นได้จากกรณีที่พี่น้องในภาคเหนือและภาคอีสานกำลังประสบกับความเดือดร้อนแสนสาหัสจากปัญหาอุทกภัย บางจังหวัดมีผู้เสียชีวิต ถนน บ้านเรือนได้รับความเสียหาย ทรัพย์สิน พืชผลทางการเกษตรย่อยยับไปกับตา ซึ่งหลายแห่งเกิดขึ้นซ้ำซาก ไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้งเข้าไปแล้ว และที่ผ่านมามาตรการเยียวยาก็เต็มไปด้วยความล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี แทนที่จะสำนึกในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ราษฎรอย่างทั่วถึง แต่ที่ผ่านมาเรากลับไม่ได้เห็นนายกรัฐมนตรีคนนี้ย่างกรายเข้าไปดูแลพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อนเหล่านั้นเลย
หากจะอ้างว่าคนที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องไปลุยน้ำลุยโคลน แต่ต้องบริหารจัดการอยู่ที่ศูนย์บัญชาการในทำเนียบรัฐบาลจะได้ประโยชน์กว่า เพราะงานในลักษณะดังกล่าวน่าจะเป็นหน้าที่โดยตรงของข้าราชการประจำในพื้นที่ เป็นฝ่ายปฏิบัติ แต่สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นก็คือทั้งในเรื่องการบริหารจัดการ การสั่งการให้ความช่วยเหลือ ล้วนประสบความล้มเหลวไม่ได้แตกต่างกัน
ในภาวะที่ชาวบ้านกำลังได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยอันเนื่องจากอิทธิพลของพายุ นกเตน สร้างความเสียหายแก่พี่น้องคนไทยในภาคอีสานและภาคเหนือ หรือแม้แต่ภาคใต้ฝั่งตะวันตก แต่สิ่งที่เห็นในช่วงเวลานี้ก็คือนายกรัฐมนตรีเรียกประชุมแก้ปัญหาทางระบบวีดิโอคอนเฟอร์เรนต์ คอยซักถามและกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งแก้ไขปัญหา ดูแล้วมันก็ไม่ต่างจากการแก้ปัญหาแบบ ตามน้ำ ขอไปที หรือแสดงให้เห็นว่าตัวเองได้รับรู้ปัญหาของชาวบ้านแล้ว แต่หลังจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการซักถาม ชาวบ้านในพื้นที่ก็ต้องประสบชะตากรรมกันต่อไป
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097140
ไปแล้วไปลับอย่ากลับมาอีกเลย 