
คงเพราะอภิสิทธิ์เชื่อว่า การพูดคือการปฏิบัติ
เขาจึงยึดหลักอย่างนี้มาตลอด แม้กระทั่งช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
จนได้รับฉายาว่า "หลักลอย" และ "ดีแต่พูด"
วันนี้ อภิสิทธิ์ผู้ผ่าเผยกลับกลายเป็นอภิสิทธิ์ผู้น่าสงสาร
เพราะวันนี้ไม่เหมือนวันวาน วันวานที่อภิสิทธิ์พูดอะไรใคร ๆ ก็รับฟัง
แต่วันนี้ อภิสิทธิ์พูดอะไร ใคร ๆ ก็ส่ายหน้า
นั่นเพราะคำพูดของอภิสิทธิ์ในวันนี้ ล้วนย้อนเข้าพันคออภิสิทธิ์เองทั้งสิ้น
ทุกเรื่อง !!!
นี่คือผลพวงของการพูดที่ไร้ความรับผิดชอบ ผลพวงของการดีแต่พูด แต่ไม่มีปัญญาทำและทำไม่เป็น
ล่าสุด
วันนี้อภิสิทธิ์ก็เหน็บ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ว่าได้ดิบได้ดีเพราะนามสกุล
ได้ยินแล้วก็มึน มึนว่า เพรียวพันธุ์เคยเหยียบปากอภิสิทธิ์ตอนไหน ทำไมถึงต้องไปแขวะเขา
คำพูดของอภิสิทธิ์ในวันนี้ ทำให้นึกย้อนกลับไปยัง "ประวัติ" ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์
จริง ชีวิตราชการของเพรียวพันธุ์เติบโตอย่างยิ่งในยุคทักษิณเรืองอำนาจ
แต่ในความเติบโตนั้น มันก็ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
ยอมรับในความรู้ ความสามารถของเพรียวพันธุ์ ยอมรับว่าเพรียวพันธุ์คือน้ำดีมีค่าสำหรับ สตช.
เมื่อคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถมีชีวิตราชการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
มันมีอะไรผิด และไม่ปกติหรือ ?
คนที่ชีวิตราชการเติบโตอย่างรวดเร็วมีเพียงเพรียวพันธุ์คนเดียวในประเทศไทยหรือ ?
ตัดกลับมาที่ชีวิตของอภิสิทธิ์
เกิดอังกฤษ เรียนอีตัน จบอ๊อกฟอร์ด หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร เป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย 1 ปี
แต่ลาซะสองร้อยกว่าวัน ทั้ง ๆ ที่เวลาเรียนตามปกตินั้น หนึ่งปีจะมีประมาณ 210 วัน (มันสอนตอนไหนว่ะ
)
อภิสิทธิ์เป็น ส.ส. ครั้งแรกเมื่อปี 2535
2538 ดำรงตำแหน่งโฆษกรัฐบาลในสมัยชวน 1
2540 ดำรงตำแหน่ง รมต.สำนักนายกฯ ในสมัยรัฐบาลชวน 2 โดยนายชวนให้เหตุผลว่า
รัฐธรรมนูญ 2540 จะมีผลบังคับใช้ซึ่งได้กำหนดไว้ว่า รมต.ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี ตอนนั้นอภิสิทธิ์อายุแค่ 33 ปี
จึงต้องให้อภิสิทธิ์เป็น รมต. เพราะไม่งั้นอภิสิทธิ์ต้องรอไปอีกอย่างน้อยสองปี อุ้มซะ... สมกับนั่งสามล้อด้วยกันอย่างแนบชิด 
2548 ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ปชป. จากการผลักดันของนายหัวชวน
2549 บอยคอตการเลือกตั้ง 2550 พ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อพรรคพลังประชาชน
2551 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการโอบอุ้มอย่างอบอุ่นจากมือที่มองเห็น ๆ
แล้วก็บริหารบ้านเมืองซะเละเทะ จนแพ้การเลือกตั้งคาเก้าอี้นายกฯอย่างย่อยยับเมื่อ 3 ก.ค. 2554
ลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่แพ้การเลือกตั้ง แล้วก็กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม
ไม่รู้ลาออกหาพระแสงด้ามกุดทำไม 
เมื่อเปรียบเทียบ
ก็จะเห็นว่า เพรียวพันธุ์นั้นมาด้วย "ฝีมือ"
แต่สำหรับอภิสิทธิ์ กว่าสองปีในตำแหน่งนายกฯ มันพิสูจน์ชัดแล้วว่า "ดีแต่พูด"
ระหว่าง "ลูกผู้ชาย" ที่ชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กับ "ลูกชาย" ที่ชื่ออภิสิทธิ์
ใครกันแน่ที่ได้ดิบได้ดีเพราะ "นามสกุล" ?
คำพูดที่ว่า คนอื่นได้ดีเพราะนามสกุล มันก็เหมือนการเอาฝ่าเท้าตัวเองฟาดหน้าตัวเองนั่นแล....

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 54 13:55:48