คุณ Mr_L ครับ ขอถกด้วยสักนิดครับ
1. คุณผูกขาด
ผูกขาดอะไรคงไม่ต้องอธิบายนะครับ เพราะเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นในสังคมนี้จนเบื่อที่จะเอ่ยถึงแล้ว
แบบที่ว่า ฝ่ายหนึ่งทำไม่เป็นไร แต่ถ้าอีกฝ่ายทำบ้าง ผิดทันที
มันจึงเป็นที่มาของคนที่มีใจ "กลางจริง ๆ" ที่เขาเรียกร้องให้แก้ไขปรับปรุง ม.112
2. เหตุการณ์ผ่านฟ้า-ราชประสงค์ คนละเรื่องครับกับเรื่องฎีกา คนละเรื่องครับ อย่าโมเมโยงกันง่าย ๆ สิครับ
ที่สำคัญ มันไม่มีหรอกครับสงครามกลางเมืองน่ะ แต่มันคือการล้อมปราบกลางเมืองเท่านั้นเอง
เหตุการณ์ผ่านฟ้า-ราชประสงค์ ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่เสียใจกันทุกคนครับ ยกเว้นพวก "สารเลว" บางจำนวนเท่านั้นที่สะใจสาใจ
อยากสาธยายมากกว่านี้ แต่ไม่ขอเอ่ย เพราะมันจะผิดประเด็นไป
3. การถวายฎีกา ไม่มีส่วนเกี่ยวพันใด ๆ กับเหตุการณ์ผ่านฟ้า-ราชประสงค์ การถวายฎีกาเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2552 ครับ
และเป็นคนละเรื่องคนละพันธกรณี
การถวายฎีกา จะถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร เหมาะหรือไม่เหมาะ เรื่องนี้มันต้องมีคำตอบครับ
ต้องมองหลาย ๆ มุมนะครับ มองในมุมของ "ผู้ถูกกระทำ" บ้าง ไม่ใช่มองมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น
ไม่ใช่อ้างเพียงว่าเป็นการรบกวนเบื้องพระยคลบาท
พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจในเรื่องนี้ มีคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาถวายอยู่แล้ว
อย่าคิดแทนและด่วนสรุปไปเลยครับ
ทั้งนี้ ผมคิดบนพื้นฐานของ "ผู้ถูกกระทำ" นะครับ ซึ่งหากการถวายฎีกาไม่ถึง "ผู้ถูกกระทำ" ย่อมรู้สึกว่า "ถูกกระทำ" อีกแล้ว
คุณดูเรื่องราวสิครับ ปฏิวัติ ตั้งคณะกรรมการเอาเรื่อง ส่งศาล ตัดสิน ออกแบบรัฐธรรมนูญพิลึก ๆ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือมุ่งเอาผิดคน ๆ เดียว แล้วคน ๆ เดียวนั้นและประชาชนที่เขารักเขาชอบเขาเลือกมา จะให้เขาหันหน้าไปทางไหนครับ
คุณเห็นคดียุบพรรค ปชป. ไหมครับ จบไปแบบหน้าตาเฉย
เห็นเรื่องคลิปฉาวศาลรัฐธรรมนูญไหมครับ แทนที่จะมีการสืบสาวว่าเรื่องราวในคลิปจริงไหม กลับกลายเป็นการสร้างเรื่องว่ามีความพยายามทำลายศาล
แล้วไล่ล่าเล่นงานคนปล่อยคลิปแทน
บ้านนี้เมืองนี้ มันหวังอะไรกับกระบวนการยุติธรรมได้มากน้อยแค่ไหนครับ
เรื่องฎีกา
แน่นอนครับ เรื่องนี้ย่อมสร้างความไม่สบายพระทัยแน่ ๆ แต่คุณลองสมมุติตัวคุณเองเป็นผู้ถูกกระทำดูสิครับ
คุณจะสู้เพื่อตัวุคุณเองอย่างไร คุณจะพึ่งใคร
เรื่องนี้ผมว่ามันเป็นเรื่อง 3 ตี ครับ คือ
"ตีกัน" ตีกันไม่ให้ฏีกาถึงเพราะไม่รู้ว่าถ้าฎีกาถึงแล้วผลจะเป็นอย่างไร
"ตีกิน" คือชี้นิ้วใส่คนถวายฎีกาแล้วว่า รบกวนพระบาท สร้างความไม่สบายพระทัย พวกจาบจ้วง ไม่จงรักภักดี
"ตีตนไปก่อนไข้" คือไปคิดว่า ถ้าพระองค์ทรงยกฎีกา จะทำให้ประชาชนที่ร่วมถวายฎีกาไม่พอใจ อันไม่ผลดีต่อสถาบัน ผมว่ามันคิดล่วงหน้าเกินเหตุครับ
ผมว่าคนเสื้อแดงน่ะ เขามีเหตุผลมากกว่าไอ้พวกด๊อก ๆ พวกกระแดะทั้งหลายที่อาศัย "เปลือก" ลวงสังคมอยู่ทุกวันนี้เยอะครับ
ตั้งแต่ ส.ค. 2552 จนถึงวันนายอภิสิทธิ์ยุบสภาฯ ระยะเวลาเกือบสองปีครับ
ทำไมรัฐบาลไม่สื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนที่ถวายฎีกาครับ ว่ามีขั้นตอนอย่างไร ได้หรือไม่ได้
มีแต่พวก "เกลียดทักษิณ" ทั้งนั้นที่ออกมาพูดรายวัน
รัฐบาลเองก็ให้ความเห็นแค่นิด ๆ หน่อย ๆ มันก็ถูกมองว่าเป็นคนละพวกกับทักษิณ
ทำไมไม่พยายามทำความเข้าใจให้ได้บทสรุป จนถึงวันนี้ จะมาบอกง่าย ๆ ว่า อย่าทำนะ ๆ
มันคือทางออก หรือทางตันครับ
คุณกระทืบเขา ยัดข้อหาเขา เขาแจ้งความ ฟ้องศาล เขาก็รู้ว่าแพ้แน่ แล้วคุณคิดว่าจะให้เขาทำอย่างไร
ฉะนั้น เรื่องฎีกานี่ ยิ่งหน่วงเหนี่ยวยิ่งมีปัญหาครับ แต่ถ้าสุดท้ายมีคำตอบ ทุกอย่างจบครับ
อย่ามองที่ตัวทักษิณ แต่ให้มองเข้าไปใน "หัวใจ" ของประชาชนจำนวนหนึ่งที่เขาเห็นด้วยกับเรื่องฎีกานี่
คำตอบไม่ใช่ต้องได้ตามต้องการครับ อย่าไปประเมินพวกเขาต่ำอย่างนั้น
อย่าไปมองว่าพวกเขาโง่ อย่าไปมองว่าพวกเขาถูกหลอก อย่าไปมองว่าพวกเขาเห็นแก่อามิสสินจ้าง
คนวิ่งใส่ลูกปืนน่ะ มันคือบทพิสูจน์ทุกอย่างแล้วครับว่าพวกเขาต้องการอะไร
ต้องการ "ความเป็นธรรม" หรือต้องการตายเพื่อใคร ย้อนศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยดูสิครับ
สุดท้าย ปัญหาบ้านเมืองที่เรื้อรังมากว่าห้าหกปีนี่
ใครเป็น "ตัวการ" กันแน่ครับ ?
รัฐบาลที่แล้วทำอะไรไม่มี "ความเห็น"
แต่พอยุบสภาฯ และรู้ว่าใครจะชนะเลือกตั้ง จนถึงวันนี้ "ความเห็นลบ" ก็เรียงล่ายส่ายกันออกมาเต็มเมือง
ความเห็นลบที่อาศัยบทบาทและสถานะทางสังคม อาศัยต้นทุนทางสังคม
ไอ้หัวใจ "ไม่ปกติ" และ "ความเห็นพิการ" เหล่านี้แหละครับที่มันเป็น "ตัวการ" สร้างปัญหาให้บ้านเมือง
การดึงสถาบัน กับการพึ่งสาบัน มันต่างกันครับ
ดึงสถาบัน กลับไม่ว่าอะไรกันสักคำ แต่พอคนอื่นพึ่งสถาบัน กลับหาว่าเขาดึง
ด้วยความเคารพครับ
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 54 08:25:35