โดย กาหลิบ
เห็นพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ออกมาโรมรันทางน้ำลายเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชอภัยโทษให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และการเร่งรัดคดีที่ดินถนนรัชดาภิเษกแล้ว นึกอย่างเดียวว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้
ความรู้สึกโดยรวมอย่างนี้สำคัญกว่ากระบวนการตรวจชื่อผู้ถวายฎีกา สำคัญกว่าความยุติธรรมในกรณีที่ดินรัชดาฯ และสำคัญยิ่งกว่าการขอรับพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งแปลว่าความกรุณาอันยิ่งใหญ่ จาก ฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
เพราะ ความรู้สึก นั้นเองอาจจะกลายเป็นพลังผลักดันทิศทางของบ้านเมืองไปด้านใดด้านหนึ่งได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในยามที่สงครามใหญ่เพื่ออนาคตของชาติเพิ่งจะเริ่มต้น
การชวนทะเลาะในประเด็นยิบย่อย เช่น รัฐบาลที่แล้วแกล้งตรวจสอบรายชื่อช้าเพื่อหน่วงเหนี่ยวการถวายฎีกา การสืบพยานที่บกพร่องจนนำไปสู่ความอยุติธรรมในคดีที่ดินรัชดาฯ เป็นต้น อาจส่งผลให้รัฐบาลได้รับผลเฉพาะหน้าตามความต้องการ แต่ก็อาจเกิดผลเสียหายบางอย่างโดยไม่เจตนาได้
จำคำพูดของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ที่ออกมาตอบคำถามเรื่องครอบครัวชินวัตรขายหุ้นใหญ่ในเครือชินคอร์ปให้กับเทมาเส็คของสิงคโปร์ได้ไหม?
ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ขึ้นศาลแท้ๆ ที่ไหนก็ชนะทุกคดีไป แต่ผลจากภาพรวมในวันนั้นยังคงหลอกหลอนและสร้างความเสียหายทางการเมืองให้กับฝ่ายประชาธิปไตยมาจนถึงปัจจุบัน
ผลการแอบสำรวจพบว่า คำพูดวันนั้นสร้างแนวร่วมเพิ่มขึ้นมากมายให้กับขบวนการเสื้อเหลือง
โดยสรุปและไม่ได้ยกมาทุกตัวอักษร คนพูดในวันนั้นชี้แจงว่าตัวเองมีหน้าที่ในทำให้การซื้อขาย ถูกต้องตามกฎหมาย และต้องการอธิบายความในเชิงกฎหมายเท่านั้น ส่วนเรื่องคุณธรรมจริยธรรมไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของตน
พูดถูกแต่ผลออกมาผิดพลาดฉกาจฉกรรจ์ และส่งผลกระทบมาจนถึงวันนี้ เพราะทำให้ภาพรวมของการสื่อสารทางสังคมแสดงว่า คนฉลาดทางสมอง ไม่ต้องมาใส่ใจใดๆ กับคนโง่ที่เขาใช้หัวใจเป็นสำคัญ
เกิดศัตรูทันทีกับคนที่เขาไม่ได้โง่แต่ถูกทำให้เหมือนคนโง่ ด้วยการเอากฎหมายมาปิดปากเขา แถมยังทำให้คนที่รู้สึกว่า รู้ทัน เกิดความเจ็บอกเจ็บใจและเข้าร่วมกับขบวนการผีสางอะไรก็ได้เพื่อแสดงความรู้สึกเจ็บแค้นและต่อต้าน
ผู้ที่ชิงชังระบบทุนนิยมและนายทุนอยู่แล้วโดยอุดมการณ์ ก็ถือโอกาสร่วมแสดงความเกลียดชังและใช้เรื่องนี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าปิศาจที่เขาสร้างภาพอยู่ในใจอย่างหมกมุ่นนั้นมีตัวตนจริง
แนวร่วมฝ่ายตรงข้ามเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพราะเรามัวเมาในรายละเอียดและการมองเข้าข้างตัวเอง โดยไม่ได้ใส่ใจต่อภาพรวมที่ปรากฏขึ้นต่อมวลชนส่วนใหญ่อย่างเพียงพอ
แล้วอะไรคือภาพย่อยและอะไรคือภาพใหญ่?
ภาพย่อยคือ การต่อสู้ดิ้นรนหาความยุติธรรมในระบอบที่คนอื่นเป็นใหญ่ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่
ภาพย่อยคือ การผลักดันขั้นตอนทางราชการเพื่อเอาชนะในเกมที่ถูกกำหนดลงมาแล้วว่าเราต้องแพ้
ภาพย่อยคือ เอาการเมืองเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์มาเป็นคู่มวยหลักในการต่อสู้ทางการเมือง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าคู่มวยหลักอยู่ที่อื่น
เรื่องเหล่านี้สู้ไปมักจะได้ไม่คุ้มเสีย
ภาพใหญ่คือการตั้งธงเชิงระบอบเลยว่า ประชาชนชาวไทยจะได้อำนาจสูงสุดมาเป็นของตนด้วยวิธีใด
อำนาจนั้นรวมทั้งอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ รวมถึงอำนาจในรายละเอียดของแต่ละฝ่ายนั้นด้วย เช่น การคุมกองทัพให้อยู่ภายใต้การชี้นำของฝ่ายประชาชน กรรมวิธีในการดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ เป็นต้น
เมื่อตั้งธงแล้วก็เอาเรื่องที่เล็กกว่าที่ดินรัชดาฯ มาเป็นเครื่องมือในการจัดตั้งทางความคิดจนกว่าสังคมส่วนใหญ่จะคล้อยตาม และเห็นความฉ้อฉลในระบอบและระบบที่ดำรงอยู่ จากนั้นจะยกมาสู้อีกกี่สิบเรื่องก็ตามใจ เพราะจะเป็นเสมือนคอนกรีตที่เอามาเทเสริมฐานประชาธิปไตยทั้งนั้น
เรื่องนี้จึงไม่ได้คัดค้านขัดคออะไร แต่เตือนมาด้วยความปรารถนาดีว่าเลือกจังหวะเวลาให้ดีกว่าที่เคยทำมา และต้องเอาประชาธิปไตยขึ้นก่อนเสมอเท่านั้นเอง.
จากคุณ |
:
อดิศร1
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ก.ย. 54 14:09:38
A:113.53.76.255 X:
|
|
|
|