ผมได้นำบทความ เรื่อง แนวทางการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผู้มีความรู้ และประสบการณ์ทางการเมือง ที่ได้ติดตามศึกษาเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้เขียนและส่งมาให้ จึงได้นำมาลงตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในคอลัมน์นี้จนจบ ทราบว่ามีผู้อ่าน และผู้ให้ความสนใจจำนวนไม่น้อย ได้แสดงความเห็น และทัศนคติต่อบทความดังกล่าวไว้มากมาย มีทั้งที่ชื่นชม และเห็นด้วยกับบทความดังกล่าว แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นประเภทสาวกของพรรคนี้ที่ใครก็แตะต้องไม่ได้ เป็นต้องออกมาปกป้อง แก้ต่าง หรือตอบโต้กับข้อเขียนดังกล่าว โดยไม่ยอมรับรู้และเข้าใจว่า
บทความดังกล่าวเป็นเพียงกระจกที่สะท้อนความจริงของปัญหา ที่จะเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมือง หรือนักการเมืองที่คิดจะพัฒนาและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ให้เป็นที่พึ่ง และความหวังของสังคม คนจำพวกนี้ช่างเป็นที่น่าเวทนาจริงๆ พฤติกรรม และอุปนิสัยไม่แตกต่างอะไรกับคนเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งๆ ที่ตนเป็นคนมอบหมายให้สมาชิกพรรคท่านหนึ่งทำการสำรวจ ศึกษา วิจัย เพื่อความเข้าใจต่อปัญหา และจุดบกพร่องของพรรค ที่ทำให้ไม่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง เมื่อผลการศึกษาพบว่า จุดอ่อนสำคัญอยู่ที่ตัวหัวหน้าพรรค และปัญหาอื่นเรียงลำดับรองลงมา ก็โวยวาย โกรธ อารมณ์เสียไม่พอใจผู้ศึกษาสำรวจวิจัย พฤติกรรมเช่นนี้จึงยากที่จะแก้ไข และพัฒนาได้ ไม่ต่างจากสำนวนไทยที่ว่า พวกบัวใต้ตม
ผู้เขียนขอยืนยันอีกครั้งว่า ที่นำบทความดังกล่าวมาตีพิมพ์ ก็เพียงให้เป็นวิทยาทานสำหรับคนที่รักดี คนดีที่ชอบแก้ไข ไม่ใช่เพื่อคน[^_^]ที่ชอบแก้ตัว โยนความผิด และกล่าวโทษชี้นิ้วไปที่ผู้อื่น ว่าเป็นต้นเหตุให้ตนเองพ่ายแพ้ แถมปล่อยข่าวใส่ร้ายป้ายสีว่า เพราะมีคนไปรับเงินทักษิณ จึงทำให้ตัวเองพ่ายแพ้ อันเป็นวิธีคิดที่อัปยศที่สุด ผู้เขียนจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้อ่านว่า ผมไม่มีความโกรธแค้นอะไรเป็นส่วนตัวกับนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ และมิได้มีความใฝ่ฝัน หรือประสงค์จะกลับไปร่วมทำงานในสังกัดพรรคนี้ ตราบใดที่ยังมีหัวหน้าพรรคชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้ปราศรัยต่อที่ประชุมสัมมนาของพรรคที่จังหวัดชุมพร กล่าวหาว่า เหลืองและแดง ต่างล้วนเป็นปัญหาของบ้านเมือง ซึ่งเป็นการพูดโดยมิได้จำแนกความถูกผิด หรือผิดชอบชั่วดีใดๆ แต่เหมารวมการเคลื่อนไหวทางการเมืองของทั้งสองพวกสองกลุ่ม ให้เป็นพวกเดียวกัน
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมใด วิญญูชนทั้งหลายย่อมพิจารณาได้ว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองดังกล่าวนั้น มีรูปแบบวัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่แตกต่างกัน เนื้อหาสาระในการเคลื่อนไหวก็แตกต่างกัน ผู้นำและประชาชนผู้เข้าร่วมล้วนแต่มีสถานะ และสภาพแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่เพียงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีทัศนคติเช่นนี้เท่านั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีทัศนคติมิได้แตกต่างกัน เมื่อขึ้นสู่อำนาจ เขาจึงไม่เห็นหัวประชาชนที่เคยสนับสนุนพวกเขา มาถึงวันนี้ คงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า คนที่เป็นปัญหาของชาติบ้านเมืองจริงๆ ก็คือนักการเมืองสองขั้วสองพรรค คือ ทักษิณ กับ อภิสิทธิ์ หรือเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์นั่นเอง ข้อเท็จจริงของปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ ชัดแจ้งยิ่งกว่าแสงตะวันซะอีก โดยดูจาก
(1) ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ไม่ว่าระบอบทักษิณยิ่งลักษณ์นอมินี หรือระบอบอภิสิทธิ์ ก็หาได้แตกต่างกันไม่ มีการโยกย้ายข้าราชการที่เป็นพวกพ้อง หรือที่ยอมสวามิภักดิ์รับใช้ทางการเมือง ให้ได้ดี กินตำแหน่งสำคัญด้วยกันทั้งนั้น โดยมิได้คำนึงถึงหลักคุณธรรม ไม่เคารพในความอาวุโส ไม่ยึดแบบแผน ระเบียบราชการ หรือการบริหารราชการที่ดีแต่อย่างใด พวกกูพวก ึง ทีใครทีมัน ยุคอภิสิทธิ์ก็ฉาวโฉ่ที่สุด ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ และข้าราชการมหาดไทย
(2) การดำเนินนโยบาย และแก้ไขปัญหาประชาชน ทั้งสองรัฐบาลก็เดินแนวทางประชานิยม ผลาญเงินของแผ่นดิน หวังเพียงเพื่อหาเสียงและเอาใจประชาชน แข่งกันที่ว่า ใครจะผลาญเงินแผ่นดินได้เก่งกว่ากัน และแข่งกันแจกจ่ายผลประโยชน์ให้ประชาชนพอใจ โดยมิได้คำนึงถึงความมั่นคง หรือความยั่งยืนของการพัฒนาบ้านเมืองแต่อย่างใด
(3) เรื่องที่ประจานให้เห็นถึงความอัปยศ และความอัปลักษณ์ของนักการเมือง และพรรคการเมืองทั้งสองขั้ว ชนิดว่าเลวกันคนละขั้ว ชั่วกันคนละแบบ ก็คือกรณีที่ต่างฝ่ายต่างดอดไปเจรจาลับกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกี่ยวกับปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และแหล่งน้ำมันในอ่าวไทย
กรณีนี้ต้องขอบคุณเว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ ที่ได้ช่วยเผยแพร่และรายงานข่าวดังกล่าว โดยนายฮุนเซน ได้เปิดเผยถึงการเจรจาลับระหว่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตีฝ่ายความมั่นคงของไทยในขณะนั้น กับนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์ของน้ำมันในอ่าวไทย ว่านายสุเทพ ไปกัมพูชาถึง 3 ครั้ง เพื่อเจรจาเรื่องนี้
นอกจากเคยไปที่บ้านของนายฮุนเซน ที่ตาเคมา จ.กัณดาล ยังได้แอบไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชาถึงที่ฮ่องกง และที่คุนหมิง ประเทศจีน นายฮุนเซน ได้เปิดเผย และตอกหน้ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างไม่ไว้หน้า แถมพาดพิงไปถึงบุคคลอื่นๆ ที่ร่วมคณะไปกับนายสุเทพด้วย คือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ทั้งสองคนได้หอบเอาเอกสารแผนที่เกี่ยวกับบล็อกน้ำมันในทะเลไปคุยเพื่อขอเจราจาตกลงกับนายฮุนเซนด้วย แม้นายฮุนเซน จะออกมาพูดเรื่องนี้ โดยมิยอมพูดถึงว่า แล้วสมัยทักษิณล่ะ ฮุนเซนก็เคยมีการเจรจาและตกลงลับๆ ในเรื่องใดบ้าง ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ถึงพฤติกรรมของฮุนเซน ว่าวันนี้เขาต้องตกลงกับทักษิณ จึงย่อมต้องปกป้องรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ย่อมทำให้คนไทยทั้งหลายได้รับรู้และหูตาสว่างเสียทีว่า รัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ ก็มีพฤติกรรมที่เลวสุดขั้ว ชั่วคนละแบบไม่ต่างกัน !!! นักการเมืองที่เอาผลประโยชน์ของชาติไปตกลงและต่อรองกับรัฐต่างประเทศ โดยปกปิด และไม่ยอมให้ประชาชนร่วมชาติ ได้รับรู้ ย่อมมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ เข้าข่ายทรยศต่อประเทศชาติ และประชาชนด้วยกันทั้งสิ้น ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนเช่นเดียวกัน พิจารณามาแค่เพียง 3 เรื่อง ยังไม่รวมถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมายอันเป็นความอัปยศในแผ่นดิน ก็พอจะบอกได้แล้วว่า พวกเขาต่างหากที่เป็นปัญหาของบ้านเมือง
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000117422
อ้าว ....ใคร ๆ ก็เป็นปัญหาของบ้านเมืองทั้งนั้น ยกเว้นพธม.ซะกระมัง แล้วคิดว่าบ้านเมืองจะให้บริหารกันเล่า เรามีพรรคการเมืองใหญ่อยู่แค่ 2 พรรคเท่านั้น เขียนบทความแบบนี้ไม่้ได้ให้อะไรกับคนอ่านเลย หรือไม่กล้าจะบอกว่า "พธม." เท่านั้นที่สมควรจะเป็นผู้ชี้แนะหรือคัดสรร คนมาบริหารบ้านเมือง เลยเขียนบทความค้าง ๆ ไว้แบบนี้
ใครจะมาช่วยวิเคราะห์ วิแคะบทความนี้กันหน่อย ...ขอเรียกชื่อนะคะ
คุณห่านป่า ...พธม.ตัวจริง ผู้รู้ทุกเรื่องแบบ คุณ thyrocyte หรือ คนไม่ชอบทักษิณแบบ คุณ abbeaw และเพื่อน ๆ ที่ชอบปชป. ทุกคน วันนี้ ผู้จัดการ บังอาจกล่าวหา คุณอภิสิทธิ์ เห็นยังไงกันบ้าง ....กล้า ๆ กันหน่อย หรือว่าไม่แน่จริงหรอว่าเราจะกลับไปเป็นแบบ เมื่อ กาลก่อนโน้น......กัน
ไม่ได้อ่านผู้จัดการซะนาน วันนี้เจอของดี เลยต้องเก็บมาฝาก กลัวเพื่อน ๆ จะลืม พธม.
ทักษิณ และ อภิสิทธิ์ คือ ปัญหาของบ้านเมือง โดย ประพันธ์ คูณมี ....ผู้จัดการออนไลน์
