เรื่องราวของสารขัณฑ์ประเทศนามสมมุติ
ในยุทธจักรไม่ใช่จะมีเพียงฝ่ายธรรมะฝ่ายอธรรม เท่านั้น ถึงกับยังมีแยกย่อยออกเป็นวิญญูชนจอมปลอม นักวิชาการขายตัว ขุนนางกังฉินที่ฉ้อราษฏร์บังหลวง หลวงจีนนอกรีตทุศีลที่ชมชอบก่อม๊อบปิดถนน หมอที่ฝักใฝ่รับใช้ รับงาน นักการเมืองฝ่ายค้าน
ถึงกับยังมี สื่อสารมวลชน สื่อสอพลอ สื่อเสี้ยม ( ฮา )
ส่วนวีรบุรุษ วีรสตรีผู้เกลียดชังเคียดแค้นความอยุติธรรมในสังคม ยิ่งกว่าเรื่องราวส่วนตัว ต่างอุทิศตนเพื่อปราบภัยพาลอภิบาลคนดีนั้น มีมา มีอยู่ ทุกยุค ทุกสมัยอยู่แล้ว
ไม่นับรวมกับ เจ้าพนักงานกรมเมือง ยอดมือปราบที่ทำหน้าที่ด้วยความตงฉิน ที่แม้ในอายุราชการ จะโดนกดขี่ กลั่นแกล้ง โดนรังแกไม่ให้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ทั้งๆที่มีอาวุโสอันดับหนึ่ง
แต่สุดท้าย ก็ต้องได้เติบใหญ่ในหน้าที่ราชการจนได้
ในยุทธจักร ท่านอุนสุยอัน ผู้เขียน กวีในดงดาบ และ จริยวีรชน
อันงดงามทางภาษาและแฝงข้อความคิดที่คมกริบเหลือเหนือคมกระบี่ ในอดีตนั้น เคยใช้นามแฝงว่า อุนเลี้ยงเง็ก เขียนถึงชีวิตของมือปราบขึ้น ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า..
" มือปราบยอมเสียสละเพื่อคุณธรรม พวกเขาทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่าง รัฐ ราษฏร์ และวงนักเลง
ในฐานะผู้รักษากฏหมาย พวกเขาจะรักษาเนื้อ รักษาตัวอย่างไร
พวกเขาจะคงจุดยืนของตัวเองอย่างไร ......"
ท่านอุนสุยอัน เขียนถึงความกดดันที่มีต่อยอดมือปราบในอดีต แต่ท่านอุนสุยอัน คงนึกไม่ถึงว่าในปัจจุบันรังแต่จะเพิ่ม" เหตุผล" ในการรังแกมือปราบมากขึ้น
ยกตัวอย่างเฉกเช่นเพียงแค่นามสกุล ก็สามารถใช้เป็นเหตุผลในการหาข้ออ้างมารังแกยอดมือปราบจนได้
** หากแม้แต่ยอดมือปราบในกรม หากแม้แต่จ่าเพียรในกอง ในชีวิตยังไม่ได้รับความยุติธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้าย ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฏร ตาดำๆ ย่อมพอที่จะคาดเดาความเป็นอยู่ความคับแค้นออกได้
นี่คือยุคสมัยล่าสุดที่พึ่งผ่านมา **
แนฮ้วย หนึ่งใน " สี่มือปราบพญายม " เคยกล่าวคำพูดหนึ่งเอาไว้ว่า
" ที่ผ่านมา มีคดี มีคนดีๆที่โดนปรักปรำมากเกินไป เราไม่ต้องการให้เกิดคดีปรักปรำอีกสืบไปในภายภาคหน้า "
แน่นอน คุกไม่ได้มีไว้เพื่อขังหมา ขังแพะ และคนจน อีกต่อไปอีกแล้ว