เรื่องสำคัญที่เป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมาร่วมเดือน คือข่าวสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศขณะนี้ เป็นภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่และกว้างขวางที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา จนกำลังเหลือบ่ากว่าแรงรัฐบาลจะรับมือไหว
รายงานจากส่วนราชการผู้รับผิดชอบแจ้งว่า ขณะนี้ยังมีอุทกภัยร้ายแรงใน 23 จังหวัด พื้นที่เสี่ยงภัย 42 จังหวัด เกือบทั้งหมดอยู่ในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ราษฎรเดือนร้อนมากกว่า 2 ล้านคน พื้นที่เกษตรกรรมเสียหายกว่า 5 ล้านไร่ ผู้เสียชีวิตชัดเจนแล้ว 180 ราย และสูญหายจำนวนหนึ่ง เขื่อนทุกเขื่อนรับน้ำเต็มพิกัดแล้ว ความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมประเมินว่า ใกล้เคียง 1 แสนล้านบาท โดยเฉพาะจ.เชียงใหม่กระแสน้ำถล่มท่วมเมืองระดับที่เพิ่มสูงเป็นบริเวณกว้างขวางเป็นประวัติการณ์ ธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลัก อาจเสียหายหนักในฤดูการท่องเที่ยวเร็วๆนี้ ทั้งมีรายงานว่า พายุใหญ่อีกหลายลูกกำลังจะเข้าซ้ำเติมสถานการณ์ให้รายแรงยิ่งขึ้น จนไม่อาจประมาณการได้ และที่น่าห่วงใยยิ่งคือ กระแสน้ำแรงจากภาคเหนือและภาคกลางหลายจังหวัดกำลังจะเข้าถล่มกรุงเทพฯ มีข่าวว่า น้ำเหนือถึงดอนเมืองและปทุมธานีแล้ว ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศหรือสทอภ. เปิดเผยพื้นที่เสี่ยงภัย 13 เขตในกรุงเทพฯ รวมทั้งพื้นที่จังหวัดปริมณฑลล้วนเสี่ยงที่จะต้องจมน้ำ
มีผู้คิดไปว่ากระแสน้ำมหาศาลขณะนี้ หลากไหลมาเพื่อเตรียมดับไฟที่เคยเผาบ้านเผาเมืองจนวอดวายมาแล้ว ขณะนี้เชื้อไฟนรกยังสุมอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง
ขณะเดียวกัน เกิดเหตุร้ายแรงจากผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีระเบิดคาร์บอมร้ายแรงเกิดขึ้นซ้ำซ้อนหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่อ.สุไหง-โกลก เป็นเหตุให้บ้านเรือนถูกทำลายพินาศเสียหาย ผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย กับมีรายงานว่าผู้ก่อการไม่สงบมีระเบิดจำนวนหนึ่งเตรียมทำ"คาร์บอม"ในหาดใหญ่ด้วย ยิ่งกระทบกระเทือนการท่องเที่ยวภาคใต้อย่างยับเยิน
รัฐบาลต้องยอมรับว่า ปัญหาสำคัญซึ่งหน้าในบ้านเมืองขณะนี้คือ วิบัติภัยน้ำท่วมในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กับวินาศภัยจากขบวนการผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ ซึ่งจะต้องทุ่มเทงบประมาณ สติปัญญา และสรรพกำลังแก้ไข ขจัดความเดือดร้อนของประชาชนโดยรีบด่วนที่สุด ให้สมกับที่อ้างว่า เป็นรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชน
ปัญหาซึ่งหน้าที่ชิงพื้นที่ข่าวสื่อมวลชนทุกวัน จนกลายเป็นวิกฤตศรัทธา ทำให้รัฐบาลต้องแย่งชิงพื้นที่ข่าวด้วยกลยุทธ์สารพัดเช่น โหมโฆษณาโครงการบ้านหลังแรก โครงการรถยนต์คันแรก ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรีเดือนละ 15,000 บาท และสับเปลี่ยนหลักการไปแต่ละวันให้ประชาชนสับสนงุนงง เพื่อกลบเกลื่อนหลีกเลี่ยงการตอบคำถามเรื่องใหญ่ซึ่งหน้าทั้งสองเรื่องดังกล่าว ทั้งที่สารพัดโครงการเหล่านี้ต้องอาศัยพรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2555 รองรับ ขณะที่ปีงบประมาณ 2554 กำลังจะจบในสิ้นเดือนกันยายนนี้ แต่ร่างงบประมาณปี 2555 ยังไม่ได้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเลย
กลยุทธ์เรื่องหนึ่งที่คนในรัฐบาลนี้ นำออกมากลบเกลื่อนเรียกความสนใจประชาชนคือเรื่อง ซีซีทีวี (CCTV:Closed-Circuit Television)หรือระบบถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์จากกล้องที่ติดตั้งตามจุดต่างๆที่อยู่ในวงจรเดียวกันไปสู่เครื่องรับ เพื่อสังเกตการณ์หรือเฝ้าระวังความปลอดภัย ที่กรุงเทพมหานครนำไปติดตั้งตามที่สาธารณะต่างๆ อันเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหาผ่านสื่อว่า ซีซีทีวี.บางจุดที่กรุงเทพมหานครนำมาติดตั้ง เป็นกล้องทีวีปลอมหรือกล้องทีวี"แหกตา" เพราะในกล่องไม่มีตัวกล้องอยู่จริง เหตุที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวหาเพราะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต่อเนื่องมาทั้ง 2 ท่านล้วนมาจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำฝ่ายค้านขณะนี้ กลายเป็นว่า ฝ่ายรัฐบาลกลับทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายค้าน ขณะที่ฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล
อดีตผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครและผู้ว่าฯปัจจุบันต่างชี้แจงว่า บางกล้องที่ปรากฏเป็น"กล้องพราง" ที่เรียกว่า"กล้องดัมมี" ติดตั้งไว้ป้องปรามผู้ร้าย ให้เกิดความเกรงกลัวในการกระทำความผิด เพราะมีข้อจำกัดในงบประมาณซึ่งจำเป็นต้องทำต่อเนื่องกันหลายปี แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และวิธีตั้งกล้องพรางในที่บางแห่ง เพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเช่นนี้ เป็นวิธีการที่ใช้กันทั่วโลกแม้กระทั่งในยุโรปและอเมริกา ขณะมีข้อจำกัดงบประมาณ การดำเนินการของกรุงเทพมหานครที่ผ่านมา เป็นไปตามความจำเป็นอย่างโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ชัดเจน ไม่มีการทุจริตใดๆทั้งสิ้น
หากพิจารณาตามเหตุผลข้อเท็จจริง กล้องทีวีเหล่านี้ทั้งที่เป็นกล้องจริงและกล้องพราง ล้วนเป็นประโยชน์แก่ประชาชนผู้สุจริต
ในช่วงที่มีการก่อการร้ายวินาศกรรมเผาบ้านเผาเมือง อย่างน้อยกล้องพรางบางกล้องก็สามารถยับยั้งผู้ก่อการร้ายบางส่วน
หากจะถือว่ามีผู้ต้องเสียหายบ้างก็คือ เหล่าผู้ก่อการร้ายบางคน ที่ต้องเสียแรงเอาผ้าดำปีนขึ้นไปคลุมกล่องกล้องพรางไว้ เพื่อปกปิดพฤติกรรมร้าย บางคนสิ้นเปลืองกระสุนปืนในการยิงทำลายกล้องเพราะความเข้าใจผิด บางคนต้องเดินอ้อมไกลไม่กล้าผ่านบางบริเวณเพื่อหลีกกล้องพราง เมื่อรู้ความจริงในขณะนี้ ผู้ที่เป็นเดือดเป็นแค้น น่าจะเป็นผู้ร้ายจำนวนมากที่ถูกกล้องพราง "แหกตา" ไม่ใช่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั่วไป
อย่างไรก็ตามเรื่องกล้องพรางก็เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างข่าว กลบเกลื่อนความล้มเหลวของรัฐบาลอย่างได้ผลในระดับหนึ่ง
อุทาหรณ์จากเรื่องกล้องพรางหรือ "กล้องดัมมี" ก่อความคิดให้มีผู้ทำเครื่องมือ ป้องปรามสกัดการกระทำความผิดจราจรในเขตกรุงเทพมหานครบ้าง
เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจนครบาลเปิดตัว"จ่าเฉยอัจฉริยะ"ที่น่าสนใจ คือทำหุ่นตำรวจที่รู้จักกันทั่วไปว่าจ่าเฉย เป็นจ่าเฉยไฮเทค เพราะติดอุปกรณ์ไฮเทคไว้ที่หุ่น มีกล้องฝังไว้ที่ดวงตา และติดตั้งเครื่องตรวจจับความเร็วไว้ภายในหน้าอกจ่าเฉย เป็นกล้องเรดาร์ส่งสัญญาณภาพไร้สาย เพื่อป้องปราม สกัดบรรดาตีนผี บนท้องถนนที่ชอบความเร็วและฝ่าฝืนกฎจราจร
เรื่องของ "จ่าเฉยอัจฉริยะ" ได้ถูกประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางเป็นที่ชื่นชมไปทั่ว
ทราบว่าต้นทุนจ่าเฉยตกตัวละประมาณ 100,000 บาท เพราะข้อจำกัดงบประมาณของ บชน. ขณะนี้สามารถผลิตจ่าเฉยได้เพียงประมาณ 10 ตัวเท่านั้น
ด้วยกิตติศัพท์ของจ่าเฉยและข้อจำกัดงบประมาณ หากมีการทำ"จ่าเฉยดัมมี่"หรือจ่าเฉยพรางออกมาอีกสักจำนวนหนึ่ง วางไว้ในที่สำคัญ เชื่อว่า คงไม่มีใครดูจากระยะไกลได้ชัดเจนว่า เป็นตัวจริงหรือตัวพราง และไม่ว่าจะเป็นจ่าเฉยอัจฉริยะตัวจริงหรือจ่าเฉยดัมมี่ ล้วนสามารถเป็น"จ่าแหกตา" ป้องปราม "ตีนผี" ตัวจริงได้ เหมือนที่กล้องดัมมี่เคยป้องปรามพฤติกรรมชั่วของผู้ก่อการร้ายตัวจริงจำนวนมากมาแล้ว
หรือจะเป็นการออกข่าว"จ่าเฉยอัจฉริยะ"ชิงพื้นที่เรียกร้องความสนใจ ยังดีกว่าการให้ผู้อำนวยการกองสลากออกมาโยนหินถามทางออกข่าวเรื่องสร้าง"คาสิโน คอมเพล็กซ์"ที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เพื่อกลบเกลื่อนข่าวน้ำท่วม จนผู้อำนวยการกองสลากคนซื่อกลายเป็น"หนังหน้าไฟ" ถูกถล่มสะบักสะบอมไปหมดแล้ว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=281813
เอ้า...ปชป. เขาออกมาแก้ต้วแล้วว่า กล่องเปล่า ของ
CCTV เทียบได้กับ"จ่าเฉย" แหม ...มันจะไปเทียบได้
ยังไง เพราะ "จ่าเฉย" น่ะใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็น "หุ่น" ไม่
น่าเชื่อเลย ว่าคนระดับอดีตรมต. ของปชป. จะออกมา
แก้ตัวแบบนี้ หรือ เพื่อน ๆ ว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุ
สมผล ที่เอามาเทียบเคียงกันได้ ก็ช่วยออกมาชี้แจง
กันหน่อย ดิฉันก็อยากจะฉลาด ๆ เหมือน
คุณ abbeaw ....เพราะเขามักหาว่าพวกเราโง่น่ะ