น่าจะเป็นที่เข้าใจได้ว่า ในยามวิกฤติที่ผู้ให้ความช่วยเหลือใช้ความรู้ความสามารถที่มีของเขา อย่างเต็มพิกัดอย่างปรากฎเช่นนี้ รวมทั้งในสภาวะที่ขาดความร่วมมือเท่าที่เป็นไปได้ จากกลไกที่เป็นเครื่องช่วย มันเป็นวิกฤติของผู้มีหน้าที่บริหารการช่วยเหลือโดยเฉพาะ อันเสมือนกับ นักมวยไทยที่ขึ้นชกตามกติกามวยสากล อันก็แสดงออกด้วยน้ำตาครอเบ้าแห่งความอดกลั้นในฐานะนักสู้คนหนึ่ง โดยไม่ใช่การแสดงถึงความอ่อนแอ หรือขาดความสามารถให้เห็นอีกเช่นกัน ครับ

จากอุทกภัยนี่เอง ทำให้เกิดสงครามเย็นต่างรูปแบบ ที่เป็นเสมือนกบเลือกนาย อันฝ่ายหนึ่งอยากเห็น ผู้แทนของคนกว่า ๑๕ ล้านให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง และฝ่ายตรงข้ามก็พยายามช่วยร่วมต่อสู้ป้องกัน ปัญหาของ กบ ทั้งสองฝ่ายเป็นเสมือนกำลังทหารในยุทธภูมิ ที่ต่างพลีทุกสิ่งเข้าต่อสู้เพื่อรักษาอุดมการขั้วฝ่ายของตน ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วไม่ว่าจะสู่ความสำเหร็จหรือไม่ก็ตาม จะเป็นฝ่ายสูญเสียหรือพ่ายแพ้ในสงครามเสมอภาคกัน ที่เป็นที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่า สงครามหรือพัยพิบัติที่จะมีการสูญเสียเป็นเพียงเส้นทางของโอกาส ที่จะนำสู่ความมุ่งหมายหรือผลประโยชน์ของผู้ที่ทำให้บังเกิด ผู้สนับสนุนยุยงเสี้ยมเสริมให้บังเกิด รวมทั้งผู้ฉวยโอกาสกับการบังเกิด ที่จะได้ในอนาคติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเหล่านี้มิได้อยู่ในแนวหน้าของสมรภูมิ หรือวิกฤตินั่นเอง ครับ

กรณีน้ำท่วม ที่เกิดมีความเสียหาย กับ ปชช. รวมทั้ง กบ ทั้งหลายในขณะนี้ อันระดับความเสียหายก็จะเป็นผลเสมือนกับการเสียมเขาเพื่อให้นำพาไปสู่การเปลื่ยนแปลงเสถียรภาพ ในสังคมความเป็นอยู่ และรัฐบาลในปัจจุบัน และไม่ว่าจะสำเหร็จหรือไม่ก็ตาม ปชช. เป็นผู้รับความเสียหายที่เป็นผลพวงกับกบเลือกนายเพิ่มข้นไปอีก อย่างเช่น สมมุติว่า การต่อสู้ลักษณะของกบเลือกนาย เป็นผลให้เกิดความปั่นปวนในการใช้ชีวิตประจำวัน ใน กทม. อันเป็นผลให้ ผู้ว่าราชการ กทม. สามารถใช้เป็นเหตุผล และโดยอำนาจ ของการประกาศ กฎอัยการศึก ขึ้นใช้ ซึ่งก็หมายถึงว่า จนท.รักษาความปลอดภัย คือ ทหาร จะเป็นฝ่ายควบคุมและบริหารประเทศได้โดยทันที โดยไม่มีกำหนด จนกว่าจะได้รับพระราชบงการให้ยุติลง สิ่งแรกที่จะสูญเสียก็คือผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ตามมาก็คือ ระบบการปกครองโดยประชาธิปไตยและท้ายที่สุดก็คือ ชีวิตและเลือดเนื้อของอีกหลายคนและอีกหลายช่วงอายุตามมา อันเพิ่มจากสิ่งนอกกายต่างๆ ที่กำลังได้เสียไปจากอุทกภัยในขณะนี้ ครับ

นายก ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้มีความรู้และประสบการณ์ ในด้านเศษฐกิจเต็มตัวคนหนึ่ง ได้ย้ำไว้ว่า "พยายามเอาตัวรอดเป็นสำคัญ หลังจากนี้เราสามารถที่จะหาเอาใหม่ที่อาจดีกว่าเดิม" และในกลุ่มธุรกิจการผลิต ที่ถือนโยบายการผลิตไว้ว่า "ถ้าสิ่งผลิตไม่มีชำรุด ก็หมายถึงว่าโรงงานผลิตจะชำรุดเอง" และถ้าจะมองจากความเป็นจริง อุทกภัย ในแง่ลบก็คือ "นำมาสู่ความเสียหาย" และในทางบวก "ก็เพราะความเสียหายนี่เองเป็นโอกาสที่จะสร้างความเพิ่มพูลใหม่" แน่นอนหลังจากอุทกภัย และวิกฤติ ที่ไม่ช้าหรือเร็วก็จะผ่านไป การเยื่ยวยาของ รบ. จำเป็นต้องใช้วงเงิน มหาศาล เพื่อซ่อมแซมและกระตุ้นธุรกิจ ให้กับ ปชช. การอยู่รอด ของ รบ. ที่ได้รับการเลือกตั้งให้บริหารเพื่อประชาชน ย่อมเป็นที่น่าเชื่อได้ว่า จะให้ประโยชน์กับ ปชช. จากงบประมาณนี้ มากว่า รบ.ที่มิได้รับความยินยอมจากประชาชน ตามระบบประชาธิปไตย และถ้าเป็น รบ. ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย คงไม่มีความหวังของ ปชช. ที่จะได้รับส่วนแบ่งเหล่านี้ ครับ

จากอุทกภัย ปชช. ได้รับความสูญเสียอยู่แล้ว และวิกฤติ ที่มาจาก กบ ทั้งหลายทำให้เสียหายเพิ่มขึ้น แต่ถ้า ปชช. ใช้ดุลย์พินิจ และปฎิกริยาที่ผิดพลาด มีผลให้ผู้แทน ที่เลือกตั้งกันมา ถูกลบร้างลงไป ไม่เพียงแต่ แค่ล้มลงและสามารถลุกขึ้นยืนได้ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังจะใช้เป็นโอกาสจะถูกเหยีบย่ำ เพื่อกอบโกยจนขาดโอกาสลุกขึ้นอีกแน่นอน ครับ อันนี้ต่างหาก คือสาเหตุ ที่ทำให้เกิดมีสงคราม หรือความรุนแรงเกินปรกติของวิกฤติ และอุทกภัย อย่างเช่น การบังเกิดเพลิงใหม้เพื่อไล่ที่ เป็นต้น ครับ

จากอุทกภัย กบ ทั้งหลาย ที่พยายามแสดงปฎิกริยา ต่อต้านหรือล้มร้างขั้วฝาย นโยบายตรงข้าม ควรให้มองความจริงของตัวเองด้วยว่า ไม่มีพลทหารใดในสมรภูมิ ที่พลีชีวิตและจิตใจอย่างเต็มพิกัด ให้กับอุดมการณ์ จะได้รับผลตอบแทนอย่างสมควรแม้แต่ท่านเดียว เพราะเขาเหล่านี้มิได้กระทำเพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง นั่นเอง คือในยามรบต้องกระทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เพื่อให้มีชีวิตในยามสงบเสมอทาษ ที่อยู่ใต้ศักดินาและความพอใจของผู้บังคับบัญชา ต่อไป ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีบทจารึกของทหารคนหนึ่งในสุสานว่า "เขาเสียชีวิตเพื่อป้องกันบ้านเช่า และที่ยังค้างค่าเช่าอยู่ จากสงครามรุกรานที่เกิดขึ้นเสียก่อน เขาต่อสู้ก็เพื่อหวังให้กลับมาเสียค่าเช่าบ้าน และค่าเช่าบ้านตกค้างในยามสงบ" หวังว่าเข้าใจกันน๊ะ ครับ