1.นายทองหล่อ โฉมงาม เจ้าของสำนวนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่มีการเสนอสินบนให้ตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบ 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคไทยรักไทยและพรรคประชาธิปัตย์และ 3 พรรคการเมืองเล็ก คือ พรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทยและพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า

ซึ่งสืบเนื่องจากมีการร้องเรียนว่ามีการวิ่งเต้นเสนอสินบนให้ตุลาการรัฐธรรมนูญผ่านทางข้าราชการระดับสูงของศาลยุติธรรม โดยข้าราชการระดับสูงคนดังกล่าว ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเสนอสินบนให้กับตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรค

          2.นายสมศักดิ์ เนตรมัย เคยเป็นประธานคณะกรรมการไต่สวนคำร้องของพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ประธานกรรมาธิการวิสามัญปราบปรามการทุจริตของวุฒิสภา ที่กล่าวหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ปปช. ) 9 คน ชุดที่พล.ต.อ. วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ ประธานฯว่ากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีที่กรรมการปปช.ออกระเบียบและกำหนดค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนให้กับตนเอง ต่อมาคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้จำคุกกรรมการ ปปช. ทั้ง 9 คน แต่ให้รอลงอาญา

          3.นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย หนึ่งในเสียงข้างน้อย 3 เสียงขององค์คณะผู้พิพากษา 9 คนที่ให้ยกฟ้องคดี 9 กรรมการปปช.ออกระเบียบและกำหนดค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนให้กับตนเอง โดยเห็นว่า กรรมการ ปปช. ขาดเจตนากระทำความผิด

สำหรับคดีดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่า กรรมการ ปปช. ทั้งเก้า กระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ 2542 โดยพิพากษาให้จำคุกกรรมการ ปปช. คนละ 2 ปีแต่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ซึ่งมติขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีดังกล่าวออกมา 6 ต่อ 3 เสียง

         4.นายประพันธ์ ทรัพย์แสง อดีตประธานศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เคยเป็นองค์คณะผู้พิพากษาและเจ้าของสำนวนตัดสินคดีจำคุกนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุข.ในคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ เป็นเวลา 15 ปี และเคยเป็นองค์คณะตัดสินคดีกรรมการปปช. ขึ้นเงินเดือนให้กับตัวเอง เคยเป็นผู้ออกมาเตือนว่าในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯต้องได้ตัวพ.ต.ท. ทักษิณ มาขึ้นศาล หากพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ต่างประเทศก็ต้องตามจับและส่งตัวมาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เพราะการพิจารณาคดี ต้องมีตัวจำเลยมาแสดงต่อศาล

          5.นายสมชาย พงษธา ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา เป็นหนึ่งใน 9 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย

         6.นายพิชิต คำแฝง เคยได้รับการลงคะแนนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ที่คัดเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกา 5 คน ให้ไปทำหน้าที่ตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรค โดยนายพิชิตได้คะแนนเป็นลำดับที่ 5 เท่ากับนายนุรักษ์ มาประณีต ได้ 36 คะแนนเท่ากัน ต้องคัดให้เหลือเพียงคนเดียว ทั้งสองคนจึงต้องทำการจับฉลาก ตามระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาไปเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 ซึ่งผลออกมานายนุรักษ์ ได้ไปทำหน้าที่เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญคดียุบพรรค

         7.นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ แซงโค้งนายชัช ชลวร อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรม ขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เคยทำหน้าที่เป็นกรรมการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาและเคยเข้ารอบคัดเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อส่งไปเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญคดียุบพรรคแต่สุดท้ายตกรอบไป เป็นผู้ออกมาเตือนคู่ความในคดีและม็อบเชียร์ทักษิณ ที่แห่กันมาส่งเสียงเชียร์และมอบดอกไม้ให้กำลังใจ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ถึงบริเวณศาลว่าการกระทำดังกล่าว อาจเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล ทำให้การเดินทางไปขึ้นศาลในการพิจารณาคดีนัดแรก พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่กล้ารับดอกไม้หรือทักทายกับกองเชียร์

        8.นายวัฒนชัย โชติชูตระกูล อดีตเลขานุการศาลฎีกา สมัยที่นายประมาณ ชันซื่อ เป็นประธานศาลฎีกา และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญผู้หนึ่งในช่วงที่เกิดวิกฤตตุลาการปี 2534 เคยเป็นอธิบดีกรมบังคับคดี และเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ในส่วนที่เกี่ยวกับศาลยุติธรรม

        9.นายธีระวัฒน์ ภัทรานวัช เป็นผู้พิพากษาตลอดมา ก้าวหน้าในอาชีพการงานตามลำดับ ปี 2519 เป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดพิจิตร ปี 2523 เป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดชลบุรี จากนั้นขึ้นเป็น "ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล " โดยในปี 2528 ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหลังสวน ปี 2529 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงจังหวัดราชบุรี ปี 2530 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดราชบุรี ปี 2533 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา ปี 2534 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแพ่ง จากนั้นขึ้นสู่ศาลสูง โดยปี 2535 เป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ในปี 2536 ลงมาศาลชั้นต้นเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 4 ปี 2538 เป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 1 ปี 2539 เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 6 ปี 2541 เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 7

กลับขึ้นสู่ศาลสูงอีกครั้งปี 2542 เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา ปี 2546 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ปี 2547 เป็นประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยเขามีหลักในการทำงานประจำตัว คือ ซื่อสัตย์สุจริตและเชิดชูคุณธรรม

จากโอเคเนชั่น

Posted by โซ่สนิม

     อิอิอออออออออออออออออออออออออออออิ

            ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จัดตั้งตาม รัฐธรรมนูญปี 2540

            แต่มาแต่งตั้งผู้พิจารณาคดีใหม่ปีไหนครับ คนของใครบ้างครับ อ่านกันเองนะจ๊ะ

อิอิ มีบางท่านเท่านั้นแหละที่พอเชื่อถือได้ แต่คงไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ในองคณะ

ปล. ลืมตัวไม่เก่งกฎหมาย แหมไม่น่าเลยเรา อู่เอ่ม ไม่น่าเลยจริง ๆๆๆ อ่ะ อิอิ