+++ ขออนุญาตให้ความเห็นต่อคุณ ASIRAM (P11375138), คุณ NiyomC (P11374885), คุณเติ้ง 123 (P11374261)+++

เนื่องจากมีกระทู้เหลืออยู่ และพอจะมีเวลาเหลืออยู่เล็กน้อยช่วงบ่าย คิดว่าน่าจะเกิดประโยชน์ที่จะแย้งความเห็นสมาชิกบางท่านดังนี้

คุณ  ASIRAM สักนิด ในกระทู้ P11375138
ตกลงแล้ว มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้หรือไม่ ไม่ให้คู่สมรสรับราชการในหน่วยงานที่อยู่ใต้กำกับดูแล หากมีภรรยาคุณ อภิสิทธิ์ ต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์ หากไม่มี คุณจะมาตั้งกระทู้แบบนี้ให้เปลืองพื้นที่ไปทำไม

คุณ  NiyomC ในกระทู้  P11374885
1.    คณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี สามารถแต่งตั้งอัยการ หรือผู้พิพากษาได้เองโดยลำพังหรือ ผมไม่เห็นเคยได้ยินได้ฟังเรื่องแบบที่คุณเสนอมานะ ต่างจากคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูนะครับ อันนี้จริงแท้แน่นอนที่รัฐมนตรีคลัง ตั้งและปลดออกได้โดยลำพังตามกฎหมาย ผมขอดูกฎหมายที่คุณว่าสักหน่อย

2.    ที่คุณว่า “แต่ในทางปฏิบัติ ศาลฏีกาใชหลักว่าต้องมีอำนาจโดยตรงเท่านั้น เพราะถ้าไม่ตีความโดยเคร่งคัด แต่ขยายความว่า ผู้มีหน้าที่ไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด” อันนี้ผมไม่เห็นด้วย แต่จะตอบให้ในการตอบข้างล่างนี้ กรุณาอ่านดู



คุณเติ้ง 123 ในกระทู้ P11374261

ความสัมพันธ์ทางอ้อมที่ศาลยอมรับ ในคดีที่ดินรัชฏานั้น เป็นความสัมพันธ์ทางอ้อม ที่เกี่ยวโยงต่อเนื่องไปหากันด้วยบทกฎหมาย  นั้นคือการที่นายกรัฐมนตรีสามารถควบคุมกำกับรัฐมนตรีได้ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการ และการที่รัฐมนตรีคลังสามารถควบคุมกองทุนฟื้นฟูได้ โดยการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารกองทุนได้ตามตนต้องการกฎหมาย พรบ.ธนาคารแห่งประเทศไทย

ความเชื่อมโยงต่อเนื่องกันด้วยกฎหมายเช่นนี้ต่างหาก ที่ศาลให้การรับรองว่า เป็นความสามารถควบคุมกำกับดูแลและมีอำนาจบังคับตามกฎหมายในทางอ้อมได้ ที่ต้องตามบัญญัติห้ามในพรบ.ปปช.มาตรา 100(1) โดยมิได้ให้ความหมายกว้างไปกว่านี้ แต่จำกัดอยู่ที่ต้องมีัความเชื่อมโยงตามอำนาจกฏหมายต่อถึงกันเท่านัน

ต่างกับความสัมพันธ์ทางอ้อมที่ออกจะเลื่อนลอยอย่างที่คุณพยายามยกขึ้นมาว่า  “นายกรัฐมนตรีมีอำนาจบังคับทางอ้อมกับ องค์กรอิสระใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินไหม”  หรือที่คุณยกว่า “เอกชนที่รัฐเป็นผู้เก็บภาษี ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงมีอำนาจบังคับทางอ้อมต่อองค์กรอิสระด้วยการใช้งบประมาณแผ่นดิน”

มีบทกฎหมายใดหรือ? ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีควบคุมกำกับองค์กรเอกชน มีแต่คุณยกเอาเรื่องเงินขึ้นมาว่าเองว่าสามารถเอามาเชื่อมโยงได้ ซึ่งเรื่องแบบนี้  ไม่ตรงกับบริทบคดีที่ดินรัชดา เพราะในคดีนี้ ศาลพิจารณาความเชื่อมโยงทางอำนาจสั่งการด้วยบทกฏหมายที่มีต่อกันเท่านั้น จากนายกรัฐมนตรีไปยังรัฐมนตรีด้วยพรบ.บริหารราชการ และจากรัฐมนตรีไปคณะกรรมการกองทุนด้วยพรบ.ธนาคาร หากปราศจากความเชื่อมโยงในลักษณะเช่นนี้แล้ว ความผิดในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีอำนาจควบคุมกำกับดูแล ก็จะไม่เกิด

ดังนั้นศาลมิได้พยายามตีความกฎหมายอย่างกว้าง ดังตัวอย่างที่คุณยกตัวอย่าง แต่ตีความไปตามเจตนรมย์ของกฎหมายที่ต้องกัน ป้องกัน ปราบ และ ปรามการทุจริต

ซึ่งในกรณีนี้ หากศาลปล่อยคดีนี้ผ่านไปก็จะกลายเป็นเยี่ยงอย่าง และในอนาคต ย่อมมีนายกรัฐมนตรีคนอื่นอีก ที่ให้ภรรยา ไปประมูลหรือทำสัญญากับกองทุนฟื้นฟูอีก โดยที่ตนคือนายกรัฐมนตรี สามารถจัดการให้คณะกรรมการกองทุนที่มีอยู่ในเวลาที่ภรรยาตนเข้าทำการประมูล เป็นเฉพาะแต่คณะกรรมการที่จะยอมให้ประโยนชน์ตกแก่ภรรยาของตนในการประมูลได้ เท่านั้น หากไม่ยอมดังว่า ตนก็สามารถให้รัฐมนตรีคลังผู้ดูแลกองทุน จัดการเปลี่ยนเอาคนที่จะสนองนโยบายและช่วยเหลือภรรยาตนเข้าไปแทน กลายเป็นการกระทำที่ขัดต่อผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม เพราะตนมีอำนาจจะเปลี่ยนแปลงควบคุมกรรมการได้ตามอำนาจกฏหมาย

ดังนั้น ศาลฏีกาจะใช้หลักว่าต้องเฉพาะแต่ผู้มีอำนาจควบคุมกำกับโดยตรงเท่านั้นไม่ได้ เพราะจะก่อให้เกิดการละเมิดต่อความชอบธรรม เอาคู่สมรสเข้าไปทำสัญญาหรือประมูล ในหน่วยงานที่แม้ตนไม่ได้กำกับโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานที่ตนสามารถกำกับตามกฎหมายทางอ้อมผ่านทางอำนาจตามกฏหมายที่มีต่อกันมาเป็นทอดๆ เช่นกรณีที่ดินรัชดา และจะเกิดการทุจริตเชิงพฤติกรรมกันแบบนี้ต่อไปอีกมากมาย ขัดต่อเจตนารมย์ของกฏหมายที่จะ ป้องกัน ปราบ และ ปรามการทุจริต

คดีที่ดินรัชดา ศาลจึงให้คำนิยามโดยชอบและเหมาะสมแล้ว




.

แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 14:38:43

จากคุณ	: thyrocyte
เขียนเมื่อ	: 24 พ.ย. 54 14:34:27 A:58.137.0.146 X: