จากคดีอากง SMS ที่ลือลั่น..สนั่นวงการยุติธรรม..ในเพลานี้ มีข้อให้คิดถึงแนวบรรพตุลาการที่วางไว้ เพื่อรักษา..สิทธิและเสรีภาพ...ของ "ผู้บริสุทธิ์" ไว้อย่างแข็งแรง และมุ่งมั่นที่จะยึดแนวดังกล่าวไว้เป็นปราการอันยิ่งใหญ่ เพราะมนุษย์...ทุกคนมีศักดิ์ศรี...ที่ไม่อาจจะถูก "กระบวนการ" ใด ๆ มาทำให้ตกต่ำลง...แม้แต่กฎหมายของบ้านเมือง..ก็ตาม
- การปล่อยคนที่กระทำผิด(แต่รัฐฯ พิสูจน์ไม่ได้) 100 คน ดีกว่า จับคนที่ไม่ได้กระทำผิด หรือ "ผู้บริสุทธิ์" เพียง 1 คน จึงเป็นหลักฯที่นำมาสู่แนวทางพิจารณาในคดีอาญา คือ ปล่อยตัวไป เพราะมีเหตุอันควรสงสัย..." ???????
เพราะ "กฎหมาย" เป็นเพียงกติกา..ของสังคม...ที่กำหนดโดย..ผู้มีอำนาจ..มาแต่ยุคโบราณ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน...มีแนวความคิดที่จะปกป้องรักษาสิทธิมนุษยชนฯ เพื่มมากขึ้น...กฎหมายจึงมาจาก "ตัวแทนของประชาชน"...ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็มิใช่ว่า "กฎหมาย" ตามแนวคติของ "อำนาจ" เดิม จะหมดสิ้นไปจาก "กลุ่มผู้ร่างกฎหมาย"..ก็หาไม่
ว่าไปถึงคดีอากงฯ จากข้อเท็จจริงที่นำสืบมาของโจทก์(ผู้ฟ้องคดี) ก็ขาดพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงไปโดยตรงว่า ตัว "อากง" เป็นผู้ส่ง " SMS" หมิ่นพระมหากษัตริย์..ด้วยตนเอง หรือไม่ ??????
เพราะพยานต่าง ๆ ของฝ่ายโจทก์...ไม่ได้ชี้ไปถึงตัว "อากง" ว่าเป็นผู้กระทำการอันเป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าวเอง...แต่ประการใด เพียงแต่ครอบครอง "เครื่องโทรศัพท์...มือถือที่พิพาท" เท่านั้น หมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ส่งข้อความไป.."ก็ไม่ใช่หมายเลขโทรศัพท์" ของ "อากง" ไม่มีพยานโจทก์คนใดยืนยันว่า "อากง" เคยใช้หมายเลขที่ส่งข้อความ..แม้สักคนหนึ่งก็ตาม
ประเด็นข้อต่อสู้ หมายเลขที่ส่ง SMS ไม่ใช่ของ "อากง" แต่เมื่อเป็นหมายเลขที่ใช้ในการกระทำความผิด ย่อมเป็นสิ่งที่โจทก์..ต้องมีภาระพิสูจน์ว่า ใครเป็นผู้ใช้ "หมายเลขโทรศัพท์" ดังกล่าว ซึ่งสามารถตรวจค้นได้จาก บริษัทฯที่จำหน่ายหมายเลขโทรศัพท์เจ้าปัญหาว่า..ขายไปให้แก่ตัวแทนใด และตัวแทนฯได้จำหน่ายไปให้แก่บุคคลใด ก็สามารถหาผู้ครอบครองหมายเลขดังกล่าวได้ไม่ยาก.....เพราะระเบียบฯ ที่ออกมาในปัจจุบัน การซื้อหมายเลขโทรศัพท์ หรือซิมหมายเลขโทรศัพท์...ผู้ซื้อต้องให้รายละเอียดของผู้ซื้อหมายเลขโทรศัพท์..ทุกครั้ง..มิใช่หรือ ??? เมื่อโจทก์มีภาระพิสูจน์...แต่ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดแจ้ง และยังเป็นข้อที่ไม่สามารถชี้ชัดลงไปว่า "อากง" คือผู้ครอบครอง ก็ต้องยกเรื่องหมายเลขนี้ลงไปในข้อเท็จจริงว่า "อากง" ไม่เกี่ยวข้องกับหมายเลขโทรศัพท์ที่ส่งข้อความดูหมิ่นฯ
นอกจากนี้ ในประเด็นข้อต่อสู้ที่ว่า "อากง" ไม่เคยส่ง "SMS" เพราะส่งไม่เป็น แต่ผู้พิพากษา..กลับวินิจฉัยไปว่า
"ข้ออ้างของจำเลยที่กล่าวอ้างว่า ส่งSMS ไม่เป็น และไม่รู้จักเบอร์โทรศัพท์ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุาการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ นั้น มีแต่จำเลยเท่านั้นที่รู้เห็น เป็นการง่ายที่จะกล่าวอ้าง"
จริงครับ มันเป็นการง่ายที่จะกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่ยากต่อการพิสูจน์ของโจทก์ด้วย ใช่หรือไม่ ในเมื่อการส่ง SMS เป็นส่วนหนึ่งในการกระทำความผิด (เพราะข้อความมิได้ลอยออกไปจากเครื่องโทรศัพท์..ด้วยตนเอง..ซะเมื่อไร) โจทก์จึงต้อพิสูจน์ให้แจ้งชัดว่า "อากง" เป็นผู้มีความสามารถในการส่ง SMS หรือไม่ ซึ่งการพิสูจน์ก็ไม่ยากเย็นอะไร... โดยตรวจค้นประวัติจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ "อากง" ใช้ประจำอยู่นั่นเองว่า "เคยส่งข้อความ SMS ออกไปหาผู้ใดบ้างหรือไม่ ??? ซึ่งถ้าไม่เคยส่ง SMS ก็ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้างของจำเลยให้รับฟังได้ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลจะนำมาตัดสินคดีโดยอาศัย "ความเชื่อ" ว่า จำเลยมักจะกล่าวอ้างแก้ตัวอยู่วันยังค่ำ กลับเป็นแรงย้อนกลับไปหาศาล ซึ่งก็ดูหลักฐานไม่หนักแน่นในประเด็นนี้ที่จะลงโทษจำเลย
ข้อความสุดท้ายในคำพิพากษา ศาลเองยังวินิจฉัยว่า
" แม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้ที่ส่งข้อความตามฟ้องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องดังกล่าว ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายสมเกียรติ แต่ก็เพราะเป็นการยากที่โจทก์จะสามารถนำสืบได้ด้วยประจักษ์พยาน เนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าวย่อมจะต้องปกปิดการกระทำของตนมิให้บุคคลอื่นได้ล่วงรู้ จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลประจักษ์พยานแวดล้อมที่โจทก์นำสืบเพื่อชี้วัดให้เห็นเจตนาที่อยู่ภายใน"
เพียงประโยคต้น ๆ ก็เพียงพอที่จะสงสัยในข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาของโจทก์ได้แล้ว และยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้น...ให้แก่จำเลย...ด้วยการยกฟ้องและปล่อยตัวจำเลยไป....จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำเพื่อยืนยันหลักประกันความมีเสรีภาพ และความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา...จนกว่าจะพิสูจน์ให้ชัดเจนหนักแน่นเพียงพอ..ในเรื่องความผิดทางอาญา....มิใช่หรือ ???
การนำเจตนาในใจ...มาพิสูจน์ด้วยพยานแวดล้อม ก็ยังทำให้ "คติ" ในเรื่องนี้ แปลกออกไปจากที่เคยศึกษาหลักกฎหมายที่เคยมีมา เนื่องจาก ข้อกล่าวหาของโจทก์ในข้อหาดูหมิ่น ตามมาตรา 112 ไม่มีส่วนใดที่ต้องการ "เจตนาในใจ" ส่วน "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" ก็มิใช่หลักกฎหมายของประเทศไทยนี้..แต่อย่างใด เป็นเพียง สุภาษิตทางกฎหมายเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ยังถือไม่ได้ว่า..ใกล้ชิดกับการกระทำของจำเลย" การจะใช้บทพิสูจน์จาก "พยานแวดล้อม..ที่ห่างไกล" มาเป็นเครื่องพิสูจน์ความผิดของคน ๆ หนึ่ง และลงโทษตามกฎหมาย จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในทางวิชาการและกฎหมาย และสะท้อนกลับไปสู่ผู้ตัดสินเองว่า "ได้อำนวยความยุติธรรม" ให้แก่ประชาชน หรือ ใคร ??????
-------------------------
ความยุติธรรมไม่มี....สามัคคี..ไม่เกิด
-------------------------
แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 54 13:41:55