เพียงแต่ว่า จนท.ทหาร เป็นหน่วยข้าราชการหน่วยหนึ่งของรัฐ ที่ไม่พียงแต่จะอยู่ในกฎระเบียบเฉพาะในการปฎิบัติหน้าที่ราชการ ที่เรียกว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่ทหาร แต่ในฐานะที่ ทหาร ก็คือประชาชนคนหนึ่ง ของประเทศ ที่อยู่ใต้บัญญัติ รธน. และนิติกฎหมาย เดียวกันกับ ปชช.ทุกคน อันเป็นเหตุผลสมควรที่น่าจะเชื่อได้ว่า จากการปฎิบัติการโดยคำสั่ง มีการกระทำผิด ในสองกรณี คือการปฎิบัติหรือล๊ะเว้นหน้าที่ราชการ (กฎหมายทหาร) และต่อชีวิตและร่างกาย (กฎหมายอาญา) ครับ

๑.) คำสั่ง การปฎิบัติการ ในการกระทำต่อชีวิต และร่างกาย กับ ปชช. ที่อยู่ภายใต้ รธน.เดียวกัน โดยผู้ออกคำสั่ง มิใช่ ศาล (ผู้พิพากษาให้ลงอาญา) ไม่เพียงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วย กฎหมาย ผู้รับคำสั่ง ที่ยอมรับปฎิบัติการจะอยู่ใน สถานะกระทำผิดต่อชีวิตและร่างกายโดยรับจ้างวาน โดยจุดสำคัญของข้อพิสูจน์ คือคำให้การที่ว่า ไม่ใช่กรณีหน้าที่ราชการของทหาร (การปฎิบัติหรือล๊ะเว้นหน้าที่ราชการ) อันน่าทำให้ พิจารณาตาม วิอาญา ได้ว่ามีมาตรความผิด ในระดับ กระทำด้วยจงใจ (สาเหตุการกระทำ) อีกด้วย

๒.) คำสั่ง การปฎิบัติการ โดยมีการใช้ กำลังพล ทั้งจำนวน จนท.ทหาร จำนวนหน่วยปฎิบัติการ รวมทั้งจำนวนอาวุธยุโธปกรณ์ และการปฎิบัติการ ที่มิได้อยู่ในขอบข่ายของ การปฎิบัติหน้าที่หลักประจำวัน เมื่อนำมาเทียบกับ ระหว่าง วันเวลาที่ออกคำสั่ง กับ วันเวลาที่ออกปฎิบัติการ อย่างน้อย เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า เป็นการปฎิบัติการที่จำเป็นต้องมีการ วางแผนและเตรียมการ ล่วงหน้ามาก่อน โดยข้อพิสูจน์ก็สามารถนำเอา บทความวิจัยการปฎิบัติงานของทหาร ที่พิมพ์ออกเผยแพร่มาใช้ประกอบ ฉนั้นมีเหตุผลที่น่าเชื่อได้ว่า การวางแผนหรือเตรียมการ เพื่อการปฎิบัติการที่มิได้อยู่ในขอบข่ายของอำนาจหน้าที่ราช (การปฎิบัติหรือล๊ะเว้นหน้าที่ราชการ) เป็นความผิดในหน้าที่ และโดยจากลักษณะ อันน่าทำให้ พิจารณาตาม วิอาญา ได้ว่ามีความผิด ต่อความมั่นคง ในระดับ กระทำด้วยจงใจ (สาเหตุการกระทำ)

๓.) คำสั่ง การปฎิบัติการ คือ กระชับพื้นที่ หรือ สลายชุมนุม อันลักษณะการปฎิบัติการ คือ การเคลียพื้นที่ โดยหน่วยราชการ ทหาร ที่มีทั้ง กฎระเบียบการปฎิบัติราชการ (กฏทหาร) ที่อยู่ถายใต้ รธน.ของประเทศ เท่านั้น แต่ยังมีกฎระเบียบ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ (สากล) ถึงกฎระเบียบการปฎิบัติการ รวมอยู่ด้วย อย่างน้อย การปฎิบัติการที่ใช้อาวุธยุโธปกรณ์สงคราม กับประชาชน หรือบุคคลที่ปราศจากอาวุธยุโธปกรณ์สงคราม เป็นข้อต้องห้าม และเป็นความผิดต่อมนุษย์ชนและเผ่าพันธ์ โดยเฉพาะจาก หลักฐานในวิดิโอ ทหารใช้เท้ากระทืบหน้าบุคคล ทหารไล่รุมตบตีกับ ปชช.(ทำรายร่างกาย) ทหารจับมัดพระสงฆ์ (ทำร้ายศาสนา) ทหารใช้ยานพาหนะของกาชาดสากล ในการลำเลียงกำลังพลพร้อมอาวุธสงครามที่มิได้อยู่ในสภาวะบาทเจ็บ ทหารใช้หน่วย สในเป้อร์ กับบุคคล หรือกลุ่มชน ที่มิอยู่ในฐานะคู่สงคราม ทหารตั้งป้อมปฎิบัติการ (บังเก้อร์) ที่มีการใช้อาวุธสงครามทันที ในพื้นที่ๆ มิใช่พื้นที่สงคราม ทหารมิได้แถลงการ กับบุคคลปราศจากอาวุธสงคราม ในพื้นที่ปฎิบัติการ ถึงการปฎิบัติการด้วยอาวุธยุโธปกรณ์สงครามจริง ก่อนเข้าปฎิบัติการ ทหารกีดกันการขนส่งและพยาบาลผู้บาทเจ็บ (รถพยาบาล) และต่อต้าน การปฎิบัติงานช่วยเหลือและรักษาพยาบาล (ยิงนางพยาบาล) ต้องห้ามและขัดขวาง การปฎิบัติงานดับเพลิง (เซ็นทรัลเวิลดิ์) ฯลฯ ฉนั้นมีเหตุผลที่น่าเชื่อได้ว่า เป็นการปฎิบัติการที่มิได้อยู่ในขอบข่ายของ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ เป็นความผิดในอำนาจหน้าที่ราช (การปฎิบัติหรือล๊ะเว้นหน้าที่ราชการ) รวมทั้ง จากลักษณะ อันน่าทำให้ พิจารณาตาม วิอาญา ได้ว่ามีความผิด ต่อความมั่นคง ในระดับ กระทำด้วยจงใจ อีกด้วย

จนบัดนี้ ยังไม่เคยมีความคืบหน้า จากกระบวนการยุติธรรม ของฝ่ายทหาร(ทหารรัฐธรรมนูญ) ที่มีสิทธิอำนาจ และหน้าที่บังคับ อย่างน้อยกับการพิจารณา คดีความส่วนการกระทำผิด ของทหาร (กฎทหาร / สนธิสัญญา) ในสังคม ส่วนในคดีความอาญา ก็น่าจะเป็นไปตามหลัก นิติกฎหมาย ว่า จากคำให้การ และแถลงการ ของทหาร จะเป็นเหตุผลที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ ในคดีความผิดต่อชีวิต และร่างกาย ได้แน่นอน

แต่เพราะความเคลื่อนใหว จากกระบวนการยุติธรรมของไทย ยังไม่สามารถตอบโจทย์ หรือจุดยืนข้างต้น กับโลกสากลให้เป็นที่พอใจได้ ทำให้มีการเคลื่อนใหว รวบรวมหลักฐานเหล่านี้กันขึ้นมา พร้อมจับตาดูสถานะการณ์อย่างกระชิดชั้น รวมทั้งยินดีสนับสนุนการดำเนินการ ยื่นฟ้องต่อศาลโลก รวมทั้งให้คำแน๊ะนำ กับยุดยืนทางการเมืองในอนาคต ของประเทศภาคีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครับ

ถ้าดูจาก กระทู้โต้เถียงใน รดน. ในมุมสังเกตุ ระหว่าง ขั้วทางการเมือง ที่มีแนวโน้มเพียงเพื่อการยึดแย่ง อำนาจการปกครอง และบริหาร แทนการพยายามสร้างสรรค์ ร่วมช่วยในการที่จะให้ ประชาชนใน สังคมไทย ได้รับผลประโยชน์ ทำให้เกิดความท้อใจ กับหลายๆ คน ที่เป็นคนไทย และชนเพื่อนบ้าน ทั้งในและนอกประเทศ กับการให้ความช่วยเหลือ เพราะกำลังไม่แน่ใจว่า สถานะการณ์เช่นนี้เป็นธรรมชาติ ของ ชาวไทย ที่เป็นมติเสียงส่วนใหญ่ หรือไม่ นั่นเอง ครับ