การอ้างแบบนี้อันตราย เพราะหากเสื้อแดงอ้างสามัญสำนึกของตนเพื่อเอาถูกเอาผิดกับสิ่งต่างๆ เสื้อเหลืองหรือคนอื่นเขาก็อ้างสามัญสำนึกของเขา หากปล่อยให้กันแบบนี้ ก็คงได้ยกพวกตีกันตาย  และสังคมมิอาจจะอยู่เป็นสุขได้ และถือเป็นการอ้างแบบพวกอนาธิปไตยคลั่งลัทธิ คลั่งสี พวกที่มีปมปัญหา และไร้การศึกษา

ความเชื่อในเรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศจะเอาผิดมาร์กได้ ดูจะเป็นอีกเรื่องคนเสื้อแดงบางกลุ่มสักแต่จำเขามา แล้วเชื่อกันอย่างงมงาย มีการมาโพสต์ต่อๆ ยิ่งเมือเร็วๆนี้ มีสส.เสื้อแดงแกล้งทำเรื่องให้ตื่นเต้น บอกว่าจะไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อเอาผิดมาร์กอีก ก็พากันหลงเชื่อไปตามนั้นว่าจะเป็นจริงเป็นจัง โดยไม่ได้ไปดูข้อเท็จจริงเลยว่าศาลนี้มีข้อกำหนดไม่พิจารณาคดีย้อนหลัง นั้นคือศาลจะมีอำนาจพิจารณาคดีเฉพาะคดีที่เกิดหลังจากรัฐนั้นเข้าเป็นภาคี ไม่ใช่เอาคดีที่เกิดก่อนรัฐนั้นเป็นภาคีมาพิจารณาได้ หรือมีข้อกำหนดไว้อย่างไร อะไรฟ้องได้ศาลเขารับพิจารณา และกรณีแบบใดที่เขาไม่รับพิจารณา ก็ไม่ไปดูให้เข้าใจเสียก่อนอาศัยแต่เชื่อที่เขาเล่าเอามาโพสต์ต่อๆกันไป

กรณีของมาร์คที่มีประเด็นเรื่องสัญชาติ ทนายคนเสื้อแดงอ้างมาว่า มาร์คยังไม่ได้สละสัญชาติอังกฤษ จึงจะเอาไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศเพราะอังกฤษเป็นภาคีอยู่ แต่เรื่องมาร์คยังไม่ได้สละสัญชาติอังกฤษ ต่อให้เป็นความจริงก็มิได้หมายความว่ามาร์คถือสัญชาติอังกฤษในเวลาที่มีเหตุการณ์พฤษภา 2553 อันเป็นช่วงเวลาที่ทนายเสื้อแดงพยายามอ้างว่าการสลายการชุมนุมละเมิดกฏบัตรของศาลระหว่างประเทศ

เพราะตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องสัญชาติ นั้น ยอมรับว่าบุคคลสามารถจะถือหรือมีสัญชาติได้หลายสัญชาติ แต่จะเป็นคนสัญชาติของรัฐหนึ่งๆได้เพียงรัฐเดียวในเวลาหนึ่งๆ  ซึ่งหลักนี้เรียกว่า Master Nationality Rule ดังที่เคยนำมาลงไว้เมื่อปีที่แล้ว อันเป็นหลักที่ทางการอังกฤษใช้อยู่ดัง ข้อ 3 ในเอกสารของทางการอังกฤษนี้คือ (click to view)

The Master Nationality Rule 3.2 Commonly known as the "Master Nationality Rule", the practical effect of this Article is that where a person is a national of,for example, two States (A and B), and is in the territory of State A, then State B has no right to claim that person as its national or to intervene on that person's behalf.

 
นั้นคือ หากสมมุติ มาร์ค มีสัญชาติไทยและอังกฤษจริง แต่มาร์คอยู่อาศัยในประเทศไทย ( A ) แล้ว รัฐอังกฤษ (B ) ย่อมไม่สามารถจะถือได้ว่า มาร์ค เป็นคนในสัญชาติอังกฤษของตนในเวลานั้นได้ (State B has no right to claim that person as its national ) ดังนั้นหากในช่วงเมษา-พฤษภา 53 มาร์คถือสัญชาติไทยอยู่ในเมืองไทย เวลานั้น ประเทศอังกฤษย่อมจะไม่ถือว่ามาร์คมีสัญชาติอังกฤษในขณะที่เกิดเหตุสลายการชุมนุม แล้วเช่นนี้จะไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศได้อย่างไรเพราะอังกฤษเองก็จะไม่ยอมรับ

ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนด Article 5. ใน สนธิสัญญานานาชาติเกี่ยวกับเรื่องการขัดกันระหว่างสัญชาติ "Convention on Certain Questions Relating to the Conflict of Nationality Law"  (click to view) ก็ใช้หลักการคิดเดียวกัน 
 
ที่กำหนดให้ประเทศที่สาม ใช้ภูมิลำเนาหลักในประเทศของบุคคลที่มีหลายสัญชาติอาศัยอยู่เป็นส่วนใหย่ เป็นหลักในการพิจารณาสัญชาติของบุคคลนั้น กล่าวคือหากมีสองสัญชาติจริง มีหลักฐานถิ่นที่อยู่ในประเทศใดที่ตนมีสัญชาติอยู่ ก็ให้ยึดถือสัญชาติประเทศนั้น (กรณีมาร์คก็เป็นประเทศไทยพเราะภูมิลำเนาอยู่ในไทย)

และสอดคล้องกับหลักกฎหมายไทย พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.๒๔๘๑ ของไทยเอง มาตรา 6 ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่สองสัญชาติขึ้นไป อันได้รับมาคราวเดียวกัน ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่บังคับ ทั้งนี้เพราะกฎหมายไทยก็ได้มีการร่างและบัญญัตติไว้ให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายระว่างประเทศนั้นเอง

ความเชื่อที่ว่าทนายอัมเสตอร์ดัมจะฟ้องมาร์คได้ จึงเป็นความเชื่อที่วางอยู่บนรากฐานของความเลื่อนลอย และไม่มิทางที่จะเกิดผลเป็นเช่นนั้นได้ ดังนั้น หากจะคิดจะเชื่อสิ่งใดอย่าใช้แต่อารมณ์ความเกลียดชัง อย่าขอให้ได้เชื่อเพราะความเกลียด แต่ให้ใช้สติคิดพิจารณา อย่าสักแต่ฟังเขาว่ามาแต่เท่านั้น