คุณศาลายา ผมก็เห็นด้วยกับคุณอยู่แล้วนะเพราะประเด็นไม่ใช่เรื่องอาชีพ แต่เป็นเรื่องการ "ทำให้เสียหาย" ตรงนี้จึงอาจจะเป็นคุณเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือเปล่าครับ เพราะกระทู้ผมวันนี้ผมก็เน้นว่า ประเด็นไม่ใช่เรื่องอาชีพ แต่เป็นเรื่องการ "ทำให้เสียหาย" ดังจะเห็นได้จาก

1. กระทู้แรก P11464598 ผมตั้งหัวข้อว่า “ตอบคุณศาลายาเรื่องที่หนึ่ง ไม่ได้ทำอาชีพนักการเมือง เดือดร้อนจริงหรือ” และอภิปรายไว้ในรายละเอียด ในช่วงท้ายๆได้สรุปว่า “สำหรับผม หากจะเป็นอาชีพ มันก็จะเป็นอาชีพที่ใครๆก็รู้ว่าไม่มีความแน่นอน .... หากศาลสั่งไม่ให้ทำงานการเมืองหรือไม่ได้ทำงานการเมืองเพราะไม่ผ่านสส หรือพรรคของตนไมได้เป็นรัฐบาล ทุกคนต่างก็มีทางไป ไม่ได้เดือดร้อน...”  นั้นคือผมไม่สนใจจะถกว่าใช่อาชีพหรือไม่ใช่  แต่ผมถกว่า หากเป็นอาชีพ ก็เป็นอาชีพที่เมื่อถูกสั่งห้ามก็จะไม่เดือดร้อน ดังที่อภิปรายไว้ในรายละเอียด

หากจะมีช่วงต้น ก้เป็นเพียงข้อสังเกตไว้ว่า “ผมขอสรุปความคิดเห็นที่ผมมีต่อสิ่งที่คุณเรียกว่าอาชีพนักการเมือง ว่า ผมเห็นว่าสังคมและผู้คนโดยทั่วไป ไม่ได้ยึดถือหรือมุ่งหวังให้การเป็น “นักการเมือง”เป็นอาชีพของผู้ใด” ผมเห็นว่าคนอื่นเขาเห็นอย่างนั้นนะครับ

นอกจากนี้ ผมยังขยายความต่อไปในข้อ 2 ว่า "คนที่เข้าสู่การเมืองนั้น  ทุกคนย่อมรู้ดีว่ามิอาจจะยึดถือเป็นอาชีพที่จริงจังเพื่อเลี้ยงตนเองหรือครอบครัวได้ เพราะมีความไม่แน่นอน"  นั้นคือ ผมถือว่า หากเป็นอาชีพ ก็เป็นอาชีพที่ไม่อาจยึดถือเพื่อเลี้ยงตนเองหรือครอบครัวได้

2.ในกระทู้ที่สอง P11464631 ผมถกเรื่อง การตัดสิทธิทางการเมืองในฐานะที่เป็นอาชีพล้วนครับ และเทียบเคียงให้ว่า   การห้ามประกอบอาชีพ เป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามปอ.มาตรา 12 และ 39 และศาลจะใช้กฎหมายในวันที่มีการพิพากษา ไม่ได้ใช้กฏหมายที่มีขณะกระทำความผิด ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ ก็ปฏิบัติตามหลักนี้ คือใช้คำสั่งคปค. อันเป็นกฎหมายบทลงโทษที่มีอยู่ในวันที่มีการพิพากษา

ดังนั้น ผมว่าอาจมีความเข้าใจผิด เพราะผมก็คิดอย่างคุณว่าเห็นด้วยกับคุณอยู่แล้วว่าประเด็นไม่ใช่เรื่องอาชีพหรือไม่ แต่เป็นเรื่องการ "ทำให้เสียหาย" ซึ่งตามที่ผมยกมา ระบบกฏฆมายไทยไม่ถือว่าเป็นการเสียหายเท่ากับการลงโทษอาญา ดังนั้น จึงยอมให้การห้ามประกอบอาชีพ สามารถใช้กฏหมายย้อนหลังได้ เพราะไม่ได้ก่อความเสียหายร้ายแรงแก่บุคคลดังโทษอาญานะครับ

เรื่องที่ 2 คุณ pingpoojung มีการลุแก่มารยาทหรือเปล่า

ผมไม่เคยตั้งกระทู้ยั่วยุคุณ หากจะเคยต่อกระทู้ก็ต่อกระทู้คุณด้วยข้อมูลและสาระที่ผมมีหรือหามาได้ จนดูคุณอาจจะไม่พอใจผม ดังนั้น วันนี้คุณจึงลุแก่มารยาทและพยายามโพสต์ยั่วยุมาตั้งแต่กระทู้ก่อนด้วยการใช้คำว่า "ใช้ต่อมความรู้ทำงานเป็นพัก" และมากระทู้นี้ก็ใช้คำว่า "อย่าหลงกลิ่นขนมจนขาดสติ"

ผมต้องขออนุญาตติงว่า ใครกันแน่ที่กำลังขาดสติ ครับ ใครกันแน่ครับที่ลุแก่มารยาทอย่างที่ควรจะมี

ประการแรก คุณโพสต์ด้วยถ้อยคำยั่งยุดังกล่าวแล้ว ทั้งๆที่ผมไม่เคยไปทำอะไรให้คุณนอกจากตอบกระทู้ตามข้อเท็จจริงแล้วคุณไม่พอใจความจริงที่ผมได้นำเสนอ วันนี้คุณหาเรื่องผมว่า ไม่ค่อยได้โพสต์เกี่ยวกับสนธิในคดีหมิ่นสถาบันมาอ้างเสียดสีผมอีก ซึ่งผิดมารยาทของสมาชิกอยู่แล้ว

ประการที่สอง พอผมชี้แจงกลับไปตามข้อเท็จจริงว่า ผมไม่ได้โพสต์กรณีนั้นนัก เพราะความผิดสนธิยังไม่ถึงกับปิดตายหมดทางสู้คดี ส่วนตัวผมเห็นว่าสนธิยังมีช่องทางที่จะสู้คดีอยู่ แต่ศาลจะรับฟังหรือไม่เท่านั้น โพสต์ย้ำตรงนี้อย่างน้อยสองครั้งว่า ขึ้นกับว่าศาลจะรับฟังหรือไม่

แต่คุณกลับไม่ระวังการตีความหมายคำพูด กลับไปโพสต์ว่า “การที่คุณไทรอยด์บอกว่าสนธิไม่มีเจตนา ก็แสดงว่าสนธิพูดซ้ำด้วยความบริสุทธิ์ใจ” 

ผมบอกที่ไหนว่าสนธิไม่มีเจตนาครับคุณ ผมบอกแต่ว่า หากเขาจะสู้คดีนี้เขายังมีทางสู้โดย “สนธิเองน่าจะต่อสู้ด้วยหลักเจตนา”  และ “กรณีสนธินี้ แม้จะมีการนำคำหมิ่นสถาบันมาพูดต่อ อาจจะมีการต่อสู้คดีให้ศาลเห็นว่าได้ทำไปในการต่อสู้เพื่อสถาบัน( )ไม่ได้มีเจตนาที่จะหมิ่นสถาบัน”

คุณกรุณาระวังการตีความสักหน่อยนะครับ เพราะสิ่งที่ผมให้ความเห็นนั้น ล้วนเป็นการให้ความเห็นถึงแนวทางการสู้คดีหมิ่นของเขา ผมไม่เคยโพสต์อ้างว่าผมรู้ใจหรือไปเถียงแทนสนธิว่า “สนธิไม่มีเจตนา”  สำหรับผมแล้วสนธิจะมีเจตนาหรือไม่ผมไม่ทราบ ผมรู้แต่ว่าเขายังอาจจะมีทางรอด หากเขาพยายามต่อสู้คดีด้วยเรื่องนี้เท่านั้น ตามคำที่ผมโพสต์ไว้ กรุณาอย่าใช้อคติ และกรุณามีมารยาท มีสติ และละอคติ ในการโพสต์ด้วย

.