+++++ การใช้พยานในกระบวนการยุติธรรม ยังเป็นช่องทางมาตรฐานในการพิสูจน์การกระทำผิด และตอบคุณศาลายา +++++
|
 |
เรื่องที่ 1 การใช้พยานในกระบวนการยุติธรรม ยังเป็นช่องทางมาตรฐานในการพิสูจน์การกระทำผิด
ผมยังยืนยันว่าคนบริสุทธิ์น่าจะหาพยานได้ และไม่เคยใช้คำว่าคนบริสุทธิ์ต้องหาพยานได้ เพราะทราบมาก่อนเหมือนท่านทั้งหลายว่าในข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียทั้งหมด มีกรณีเกิดขึ้นจริงๆที่คนบริสุทธิ์มีพยาน แต่พยานให้การไม่มีน้ำหนักมากพอจะหักล้างพยานฝ่ายโจทย์ได้ และแพ้คดีไปในที่สุด แต่กรณีเช่นที่ว่านี้ หรือที่สมาชิกยกมานั้น เป็นกรณีที่เกิดขึ้นเป็นส่วนน้อย กรณีที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่คือ คนบริสุทธิ์มักจะหาพยานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตนได้ และทำให้การใช้พยานประกอบการพิจารณาว่าได้มีการกระทำผิดหรือไม่ ยังคงอยู่ในระบบยุติธรรมทั่วโลกและใช้ในศาลทั่วโลก
ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะระบบยุติธรรมทั่วโลกยังเชื่อในหลักที่ว่า คนบริสุทธิ์น่าจะหาพยานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ จึงยังคงใช้ระบบพยานและหลักฐานอยู่
ผมไม่ทราบว่าคุณ และคุณโบกกรัก ในกระทู้ข้างล่างที่ P11469160 และ P11469222 มีเจตนาอะไรหรือกำลังต้องการจะเสนออะไร จะเสนอให้ยกเลิกการใช้พยานในการพิสูจน์การกระทำผิดอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น คุณจะใช้อะไรพิสูจน์ว่าทำผิดหรือไม่ทำผิด หรือจะใช้หลักง่ายๆว่าหากเป็นคนที่คนเสื้อแดงเชียร์ คนนั้นย่อมไม่ผิดเด็ดขาด หากใช้หลักคิดแบบนี้ ผมต้องขอแย้งพวกคุณแน่ๆ
และที่สำคัญ เกี่ยวอย่างไรกับกรณีคดีอากงที่ได้มีการถกอภิปรายต่อเนื่องกันมา หากคุณคิดว่าอากงไม่มีความผิดเพราะเกี่ยวกับเรื่องพยานนี้ รบกวนชี้มาให้ชัดๆครับว่าเกี่ยวกันอย่างไร ทั้งพยานและทั้งหลักฐาน โดยในเวลานี้มีหลักฐานว่าโทรศัพท์ของอากงมีเบอร์ emi เดียวกับโทรศัพท์ที่ได้มีการกระทำความผิด และมีการส่งข้อความหมิ่นออกมาจากพื้นที่ที่อากงอยู่เป็นระยะถึง 4 ครั้ง มีหลักฐานการใช้งานซิมปกติสลับกับซิมที่ส่งข้อความหมิ่น และมีหลักฐานยืนยันว่า ไม่เคยมีการใช้สัญญาณของซิมทั้งสองพร้อมกัน
กรณีคุณโบกกรัก มีการยกตัวอย่างที่ไม่สมจริง เพราะลำพังมีบัตรประชาชนตกในที่เกิดเหตุ อย่างมากตำรวจจะแค่เชิญตัวไปสอบเฉยๆ จะไม่มีการตั้งข้อหาจนกว่าจะมีพยานบุคคลยืนยันว่าเห็นนายสมชายในที่เกิดเหตุในเวลาเกิดเหตุ หรือตรวจพบลายนิ้วมือ หรือดีเอนเอ ของนายสมชายในจุดที่ไม่มีทางจะไปอยู่ได้ยกเว้นใกล้ชิดกับเหตุคดี อีกอย่างนายสมชาย อาจจะหาพยานจากคนเฝ้า หรือเพื่อนห้องข้างๆที่อาจได้ยินเสียงโรทัศน์หรือกล้องวงจรปิดที่จะแสดงภาพนายสมชายเข้าไปแต่ไม่ได้ออกมาจากอพาร์เมนต์ ฯลฯ ตรงนี้เป็นรายละเอียด แต่ที่สำคัญ ลำพังพบมีบัตรประชาชนในที่เกิดเหตุ โดยไม่มีพยานบุคคลหรือพยานหลักฐานอื่นดังตัวอย่างที่กล่าวแล้ว ไม่เคยมีที่ตำรวจจะเอาไปฟ้องได้เพราะหลักฐานมันอ่อนไป อัยการไม่ผ่านให้ หรือหากถึงชั้นศาล ศาลก็ไม่มีทางเอาผิดได้ ที่คุณยกมานั้นผิดความจริงครับ
กรณีคุณ Caesar ยกเรื่องคดีเชอรี่ แอนดันแคน ดังกล่าวแล้วทุกอย่างไม่มีอะไรสมบูรณ์ แต่การใช้พยานหรือหลักฐานก็เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินต่อไป ความผิดพลาดของกระบวนการยุติธรรมมีโอกาสเกิดขึ้นได้แม้ว่าทุกฝ่าย จะได้ใช้ความระมัดระวังแล้ว ปัจจุบันกฎหมายจึงเปิดโอกาสให้ผู้บริสุทธิ์หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดี สามารถร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ และหนึ่งในช่องทางนั้นคือการใช้พยาน โดยบัญญัติไว้ในข้อ 3 ว่า หากมีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดนั้น จะแสดงว่าบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นไม่ได้กระทำความผิด นันคือพยานหรือพยานของจำเลยยังความสำคัญ แม้แต่ในขั้นตอนนี้
ดังนั้น หากคุณต้องการจะช่วยแก้ต่างแทนอากง ทั้งผมและสมาชิกที่นี้ยินดีอย่างยิ่งที่จะรับฟัง แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เคยปิดรับความเห็นต่างในเรื่องนี้ และได้ขอให้สมาชิกช่วยแก้คดีให้อากงโดยชี้ประเด็นที่จะต้องมีคนอธิบายแก้ต่างให้อากงไว้แล้วมาตลอด
กรุณาใช้สติและปัญญาในการนำเสนอข้อมูลด้วย ลำพังการพยายามตั้งกระทู้ดิสเครดิตการใช้พยานของกระบวนการยุติธรรมนี้เพียงเพราะไม่รู้จะโพสต์อะไรที่เป็นสาระ

เรื่องที่ 2 ตอบคุณศาลายา อีกครั้ง
ต้องขออภัยที่ต้องมาตอบในกระทู้รวมกับคนอื่นอีกแล้ว เพราะโควตามี 5 กระทู้ ช่วงนี้ หากตอบให้คนละกระทู้ไม่มี่ทางพอเป็นแน่ วันก่อนผมแยกตอบให้คุณคนเดียว 2 กระทู้ในตอนเช้าเพราะในเวลานั้นไม่มีกระทู้อื่นที่เห็นควรต้องตอบนะครับ แต่เวลานี้มีกระทู้ต้องตอบหลายอัน จำต้องมารวมไว้ที่เดียวกัน
คุณศาลายาไม่ยอมรับผมไม่ว่าหรอกครับ แต่ลำดับของเรื่องเป็นอย่างนี้ 1. คุณศาลายาบอกว่า การตัดสิทธิทางการเมืองเป็นการห้ามประกอบอาชีพ 2. กฎหมายที่ไม่ใช่กฏหมายของคณะรัฐประหาร แต่เป็นกฎหมายทั่วไป คือประมวลกฏหมายอาญา มาตรามาตรา ๓๙ วิธีการเพื่อความปลอดภัย คือ... (๕) ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง และมาตรา ๑๒ วิธีการเพื่อความปลอดภัย ..ให้ใช้กฎหมายในขณะที่ศาลพิพากษา 3. ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่า การห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง ให้ใช้กฎหมายในขณะที่ศาลพิพากษา 4. ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ทำตามกฎหมายนี้อย่างเคร่งครัดโดยใช้ประกาศคปค.อันเป็นกฏหมายที่มีอยู่ ในบขณะมีคำพิพากษา 5. ประกาศคปค.ฉบับนี้ ไมได้เป็นการลงโทษอาญา แต่สั่งห้ามการประกอบอาชีพ อันเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย จึงสามารถใช้ย้อนหลังได้ตามหลักการใช้วิธีเพื่อความปลอดภัยอื่นๆ ตามมาตรา 39
มาตรา ๓๙ วิธีการเพื่อความปลอดภัย มีดังนี้ (๑) กักกัน (๒) ห้ามเข้าเขตกำหนด (๓) เรียกประกันทัณฑ์บน (๔) คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล (๕) ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง
มาตรา ๑๒ วิธีการเพื่อความปลอดภัยจะใช้บังคับแก่บุคคลใดได้ก็ต่อเมื่อมีบทบัญญัติแห่ง กฎหมายให้ใช้บังคับได้เท่านั้น และกฎหมายที่จะใช้บังคับนั้นให้ใช้กฎหมายในขณะที่ศาลพิพากษา
| ดังนั้น หากคุณไม่ยอมรับก็คงเป็นสิทธิของคุณครับแต่บ่งว่าคุณไม่ยอมรับหลักการของกฎหมายทั่วไปเช่นหมายอาญาโดยทั่วไปด้วย เช่นกัน และคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะมากใคร ก็พิจารณาคดีไปตามหลักกฏมายมาตรา 12 และ 39 สามารถลงโทษที่ที่เป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยย้อนหลังโดยอาศัยคำสั่ง คปค. ทีี่ไม่ใช่คำสั่งโทษอาญานะครับ (กรุณาดูกระทู้ก่อนๆอีกที กฏหมายทั่วไปหากไม่ใช่โทษอาญามีย้อนหลังได้ มาก่อนคดีนี้นะครับ)
อนึ่ง การใช้กฎหมายย้อนหลังที่มีผลเสียหายต่อบุคคลที่คุณว่าขัดกับหลักกฎหมายสากล เป็นจริงเฉพาะโทษอาญาเท่านันดังที่ถกมาหลายครั้ง แต่ไม่จริงสำหรับโทษที่เบากว่าอาญา เพราะ หลักกฎหมายมาตรา 39 ประกอบ 12 มีผลเสียหายต่อบุคคลก็ย้อนได้ ไม่ว่จะเป็น กักกัน ห้ามเข้าเขตกำหนด เรียกประกันทัณฑ์บน คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล หรือ ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง ก็ล้วนใช้กฎหมายที่มีในวันพิพากษา ไม่ใช่ใช้กฏหมายที่มีขณะกระทำผิดนะครับ
จะอย่างไรก็ขอขอบคุณที่ร่วมถกกันมาอย่างยาวหลายกระทู้
.
แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 19:44:27
จากคุณ |
:
thyrocyte
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ธ.ค. 54 19:32:45
A:124.121.152.235 X:
|
|
|
|