
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ยินนายอภิสิทธิ์พูดย้ำคำว่า "นิติรัฐ" ไม่รู้กี่หน
แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่นายอภิสิทธิ์จะพูดถึงคำว่า "นิติธรรม"
ยอดนักแหลจริง ๆ
คนพวกนี้ เป็นมนุษย์พันธุ์แหลลงตับ
คือเวลาจะหาเรื่องคนอื่น ก็จะยกเรื่องนิติธรรม จริยธรรม คุณธรรมขึ้นมาประกอบการหาเรื่อง
แต่เมื่อคราวพวกตัวเองทำอะไรไม่ดีไม่งาม จะอ้างแต่เรื่องนิติรัฐ อ้างกฎหมาย อ้างระเบียบกฎเกณฑ์เท่านั้น แล้วตีความเอาตัวรอด
อย่างเรื่องเก้าสิบกว่าศพนี่ นายอภิสิทธิ์ก็อ้าง พรก.ฉุกเฉิน คืออ้างนิติรัฐอย่างหนักแน่น ส่วนใครโดนยิงหัวแบะ อกทะลุ นายอภิสิทธิ์ไม่สน
ด้วยเหตุนี้ นายอภิสิทธิ์จึงพูดแหลแต่เรื่องนิติรัฐ แต่ไม่เอ่ยถึงนิติธรรม เพราะมันจะเข้าเนื้อตัวเอง
อีกเรื่องที่น่าขำ ไม่รู้น่าขำหรือน่าสมเพชล่ะครับ
คือเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ตำหนินายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศว่า เมื่อก่อน(ตอนยังไม่คืนพาสปอร์ตทักษิณ)ทำไมไม่พูดความจริงกับประชาชน ทำไมเพิ่งมาพูดหลังจากคืนพาสปอร์ตเรียบร้อยแล้ว
มันก็ทำให้นึกถึงเรื่องนายอภิสิทธิ์ไปมัลดีฟส์ทันที (ไม่นับเรื่องอื่น ๆ อีกนับสิบ ๆ เรื่อง)
เพราะถึงวันนี้ นายอภิสิทธิ์ก็ยังไม่เคยพูด "ความจริง" เรื่องไปมัลดีฟส์กับประชาชนสักนิด
(เรื่องนี้เชื่อได้เลย หากมีใครไปจี้ นายอภิสิทธิ์จะพูดหน้าตาเฉยว่า เขาไม่เคยโกหก เพราะเขาจะอ้างว่าที่พูด ๆ น่ะ เขาไม่ได้พูด แต่เป็นนายชวนนท์พูดมั่ง นายศิริโชคพูดมั่ง ตามนิสัยแหลของเขา)
ใครที่ชอบนายอภิสิทธิ์ ก็ลอง ๆ ทบทวนย่างก้าวการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของเขาดูนะครับ
ไม่ได้ให้เปลี่ยนใจ แต่ให้ทบทวน เพื่อจะได้ไม่ลืมเท่านั้น
เช่น แอบไปพบกับใครในเรื่องยุบสามพรรคการเมือง มีสัมพันธ์กันอย่างไรกับกลุ่มพันธมิตรฯ ยอมสยบให้กลุ่มบุรีรัมย์แค่ไหน การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์สอดคล้องกับกลุ่มนอกรัฐธรรมนูญอย่างไร ฯลฯ
ลองคิดเล่น ๆ ดูครับ
เผื่ออีกสิบปี ยี่สิบปี จะได้รำลึกความหลังได้อย่างแม่นยำ
อ่อ ส่วนเรื่องซื้อสิทธิ์ขายเสียงอะไรทำนองนี้น่ะ ไม่ต้องคิดให้เมื่อยนะครับ
รำคาญ
พูดเก่ง โกหกเก่ง ทำงานไม่เป็น
ถ้าทำงานเป็น ไม่พูดเรื่องชั่งกิโลไข่ออกทีวีหรอกครับ

ถ้าทำงานเป็น ไม่เก่งแต่พูดเอาดีใส่ตัวเท่านั้นหรอกครับ ทำให้เห็นนานแล้ว
