ภราดรภาพ (Fraternité) คือความเป็นพี่เป็นน้องกัน มนุษย์ทุกคนจะต้องมีความเท่าเทียมกันและปฏิบัติต่อกันดุจพี่น้อง ความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ คือ การไม่เน้นผิวพรรณ หรือ เผ่าพันธุ์

สามสิ่งนี้คือหัวใจหลักแห่งควม"เป้นคน เป็นมนุษย์" ที่ต่างก็ต้องการ แล้วทำไม มันได้รับไม่เท่ากันในประเทศนี้ .....หากยังเหลื่อมล้ำอยู่แบบนี้ ผมคนหนึ่งไม่ยอม และจะสู้ต่อไป...

หากว่าสิ่งที่ นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช พูดมาจากหัวใจ และทำจริงอย่างที่พูด ผมบอกได้เลยคุณจะเป็นฮีโร่คนใหม่ในเรื่อง"รักษาทรัพย์สมบัติชาติ"ของจริงตัวจริงใน พศ.นี้...

 ไม่ใช่อย่างไอ้พวกเหลืองขี้ พธม.ที่แหกปากตะโกนมาแต่ไกลก่อนใครเลยว่าจะปกป้อง"สถาบันและสมบัติชาติ"แต่เรื่องเขายายเที่ยง เขาสอยดาว พวกมันกลับเงียบเฉย มันจึงชัดเจนว่า ไอ้พวกนี้ที่มองไกลๆนึกว่า"ทอง" แต่พอดูใกล้ๆ ดันกลายเป้น"ขี้"ดีๆนี่เอง  ส่วนเรื่องปกป้องสถาบัน ก็ไม่รู้มันปกป้องประสาอะไรดันเจือก"ปิดทางเสด็จ"เสียเอง...

และขอสนับสนุนให้ฟันทุกฝ่าย รวมถึงฝ่ายที่ผมสนับสนุน(เพราะผมจะไม่สนับสนุนคนที่กินป่าเขาสมบัติชาติแน่นอน หากผมรู้ แต่หากไม่รุ้ ต้องถือว่าผมไม่รู้ แต่ถ้าทันทีที่ผมรู้ว่าคนที่ผมสนับสนุนกินป่าเขาสมบัติชาติ ผมจะไม่ยอมดักดาน ให้ท้าย และ เลิกสนับสนุนมันผู้นั้นทันที) 

ขอสนับสนุนและให้กำลังใจ คณะทำงานชุดนี้ทุกคน โดยเฉพาะ นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ...ขอให้ทำงานอย่างแข็งขันเอาจริงเอาจังปราบไอ้พวก เกาะกินชาติแบบนี้ตลอดไป

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeU5ETTJNakk1TUE9PQ==&sectionid=

จนท.บุกรื้อแล้ว "บ้านคลองกระทิง-ไร่กุลละวณิชย์" รีสอร์ทรุกทับลาน

 เวลา 00.30 น. วันที่  19  ธ.ค. นายเทวินทร์  มีทรัพย์  หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทับลาน  นายภัทรพล  ซุ่นฮั่ว  นักวิชาการปาไม้ชำนาญงาน นายประพัฒน์พงษ์ สุขุประการ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ  นายณรงค์ นครพันธ์  นายกิตติภักดิ์ สารีรัตน์  ประชุมปรึกษาหารือที่ห้องประชุมสำนักงานอุทยานแห่งชาติทับลาน  เพื่อวางแผนในการนำกำลังเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ  เข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนรีสอร์ทคลองกระทิงคันทรีวิวและรีสอร์ทกุลละวณิชย์  เนื่องจากมีกลุ่มผู้ประท้วงปิดถนนไม่ให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปรื้อถอนรีสอร์ทในพื้นที่ดังกล่าวได้

 ผลการประชุมมีมติให้นายภัทรพล ชุ่นฮั้ว เป็นหัวหน้าชุดนำกำลังจำนวน 485 นาย เข้าไปทำการรื้อถอนรีสอร์ทบ้านคลองกระทิง  และนายประพัฒน์พงษ์  สุขุประการ  พร้อมกำลัง  307  นาย  เข้ารับผิดชอบในการรื้อถอนรีสอร์ทกุลละวณิชย์  โดยกำลังทั้งหมดได้เริ่มเคลื่อนออกจากอุทยานแห่งชาติทับลาน ขับรถขึ้นทางผ่านเส้นทางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  ทางด้านตำบลหอมเนิน อำเภอเมืองปราจีนบุรี  และไปลงทางด้านอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อหลบเลี่ยงจากกลุ่มผู้ชุมนุม  
 
 ขณะเดียวกันนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช  พร้อมคณะเดินทางไปถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทับลานได้นำกำลังอีก 1 ชุด ขึ้นทางด้านถนนสาย 304 นครราชสีมา–กบินทร์บุรี โดยกำลังทั้งหมดจะไปพบกันที่จุดทำการรื้อถอนทั้ง 2  แห่ง เมื่อกำลังเดินทางไปถึง อธิบดีฯ สั่งการให้รถแบ็คโฮเข้าทำการรื้ออาคารห้องประชุม  จนเจ้าหน้าที่สามารถทำการรื้อถอนอาคารดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว  ทางอธิบดีฯได้เดินทางต่อเพื่อดูการรื้อถอนที่บริเวณรีสอร์ทกุลละวณิชย์  และสั่งกำลังเข้าทำการรื้อถอนอาคารสำนักงานแบบ  2  ชั้น  รวมทั้งรั้วและสวนหย่อม  ซึ่งทั้ง  2  แห่งใช้เวลาประมาณ  3  ชั่วโมง  ได้ทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวไปได้ส่วนหนึ่ง  จึงให้ทำการถอนเครื่องมือและกำลัง ณ  อุทยานฯ เนื่องจากใกล้เวลา  06.00 น.  ซึ่งทางอุทยานฯ เกรงว่าเจ้าหน้าที่รื้อถอนต่อไป  และกลุ่มผู้ประท้วงที่สลายการชุมนุมไปตั้งแต่เวลา 24.00 น.  จะกลับมารวมตัวและต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

 ขณะที่ทำการรื้อถอนรีสอร์ททั้ง 2 แห่ง  มีเจ้าของผู้ประกอบการมาบันทึกภาพ พร้อมเตรียมการที่จะฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่เข้าไปทำการรื้อถอนในยามวิกาล  ซึ่งการรื้อถอนในครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ศึกษากฎหมายก่อนเข้าทำการรื้อถอนว่า  พื้นที่ที่ทำการก่อสร้างดังกล่าวศาลได้มีคำสั่งให้รื้อถอนประกอบกับพื้นที่ก่อสร้างเป็นพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติทับลาน

 หลังจากนั้น  นายดำรงค์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า “หลังจากรื้อแล้วก็จะปลูกต้นไม้ เนื่องจากที่นี่เป็นต้นน้ำ  เกิดจากเนินเขาลดหลั่นกันไป  วันนี้ถ้าเราไม่ทำทั่วประเทศก็ต้องเป็นแบบนี้หมด  บุกเข้าไปบุกเข้าไปถึงเวลาแล้วก็เอาม็อบมากดดัน  ผมทำแบบนี้ไม่ใช่ทำตามอำนาจบาดใหญ่  ผมทำตามหน้าที่   เพื่อให้คนทั้งประเทศรู้ต้องเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน  ทั้งคนจนคนรวยผมทำตามคำสั่งศาล รอว่าที่ใดศาลยุติแล้ว  ไม่เลือกเล็กใหญ่  เศรษฐีมีจนก็กันหมดและต้องกราบเรียนเจ้าของรีสอร์ทที่เสียสละ  ใจลึก ๆ  แล้วก็สงสารเจ้าของ  แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร  ความจริงเขาไม่ได้รุกที่ ตั้งแต่รุนแรก แต่เขาซื้อต่อจากชาวบ้านแล้วก็ไปสร้างรีสอร์ท   ต่อไปหากกรมอุทยานแห่งชาติจับลักษณะอย่างนี้ต้องแจ้งความดำเนินคดีกับ  อบต.ข้อหา 157 ที่เซ็นรับรองให้มีการอนุญาตก่อสร้างในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ   อบต.เซ็นอนุญาตคนก็เกิดความเชื่อมั่นก็ซื้อต่อๆ กันไป  ก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้  และผมเองก็เข้าใจชาวบ้านเข้าใจอารมณ์  พยายามหลีกเลี่ยงไม่ทะเลาะก็เลยทำกลางคืน ทำตามอำนาจหน้าที่  เพื่อให้ทุกคนทั้งประเทศรู้ว่าต่อไปนี้ใครที่ซื้อที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติผลตามมาก็ต้องเป็นแบบนี้  เงินของท่านเป็นร้อย ๆ ล้านก็สูญเปล่า  วันนี้ผมกราบเรียนท่านเจ้าของรีสอร์ททั้งสองด้วยความเคารพที่ท่านยอมเสียสละเพื่อแผ่นดิน   วันนี้ภาพต่าง ๆ ในรีสอร์ทของท่านที่ถูกทำลาย  เป็นข้อเตือนใจเศรษฐีต่าง ๆ อีกมากที่จะบุกรุก  ท่านจงภูมิใจที่ท่านเสียสละทรัพย์สมบัติ  เพื่อรักษามรดกแผ่นดินต้นน้ำลำธารไว้ให้ลูกหลานต่อไป”

 ในการรื้อถอนรีสอร์ททั้ง  8   แห่ง   ขณะนี้ทางอุทยานได้ทำการรื้อถอนแล้ว  จำนวน 2  แห่ง คือ คลองกระทิงคันทรีวิว และไร่กุลละวณิชย์