"ถ้ามีรัฐบาลอยู่ 2 ประเภท โดยทั้งสองประเภทมีงบประมาณเท่ากันคือ 100 บาท

 ประเภทที่ 1 โกงไป 80 บาท แต่ทำงานเป็น ใช้เงิน 20 บาทบริหารประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความสุขความเจริญ สร้างความมั่นคงให้ชาติได้เป็น 100 บาทเท่าเดิม 

ส่วนประเภทที่ 2 เป็นคนดี สะอาด แต่ทำงานไม่เป็น ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ใช้เงิน 100 บาท แต่สร้างประโยชน์ให้ประชาชน...ได้แค่ 5 บาท เป็นคุณจะเลือกแบบไหน?”

ผมแปลให้ตรงๆไปเลยตามนี้

รัฐบาลประเภทที่1คือ"ไทยรักไทย" กับประเภทที่2คือ"ประชาธิปัตย์"

ทีนี้ผมอ่านดูแล้ว ประเภทที่1 ไม่เข้าและไม่เหมือนเลยกับความเป้น ไทยรักไทย(สมัยนายกทักษิณ) ตรงที่บอกว่า โกง80.. 

เพราะ ประเภทที่1 ผู้เขียนบอกว่า โกงไป80 ..แต่พอย้อนไปดู ตัวเลขการจัดอันดับคอรัปชั่นโลก ประเทศไทยในยุค ทรท.  นายทักษิณ ดีกว่ายุค นายมาร์ค นายชวน แห่ง ประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่ รัฐบาล"ขิงแก่" เสียอีก  ดังนั้น ข้อเปรียบเทียบนี้ จึงเป้นการเปรียบเทียบโดยใช้ความรู้สึกและเป้นความเท็จ

ตัวเลขการจัดอันดับคอรัปชั่นไทย

ผลการจัดอันดับของไทย

ปี พ.ศ.	นายกรัฐมนตรีในปีนั้น	ค่าดัชนี
2538	นายชวน หลีกภัย และ นายบรรหาร ศิลปอาชา	2.79
2539	นายบรรหาร ศิลปอาชา และ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ	3.3
2540	พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และ นายชวน หลีกภัย	3.06
2541	นายชวน หลีกภัย	3.0
2542	นายชวน หลีกภัย	3.2
2543	นายชวน หลีกภัย	3.2
2544	นายชวน หลีกภัย และ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร	3.2
2545	พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร	3.2
2546	พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร	3.3
2547	พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร	3.6
2548	พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร	3.8
2549	พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์	3.6
2550	พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์	3.3
2551	พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์, นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ	3.5
2552	นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ	3.4
2553	นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ	3.5

• นับตั้งแต่ พ.ศ. 2545 จนถึง พ.ศ. 2548 (ยุค พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี)การคอร์รัปชันในประเทศไทยลดต่ำลงเรื่อยๆ สังเกตได้จากค่า CPI หรือค่าความเชื่อมั่น ของประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นในตารางด้านล่าง (จาก 3.2 ในปี 2545 เป็น 3.3, 3.6, 3.8 ในปี 2546, 2547 และ 2548 ตามลำดับ

• พ.ศ. 2549 จนถึง พ.ศ. 2550 (ยุค พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี) การคอร์รัปชันในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น สังเกตได้จากค่า CPI ของประเทศไทยที่ลดต่ำลง เหลือ 3.6 และ 3.3 ในปี 2549 และ 2550 ตามลำดับ

• พ.ศ. 2551 (ยุค นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี) การคอร์รัปชันในประเทศไทยลดต่ำลงอีกครั้ง สังเกตได้จากค่า CPI ที่เพิ่มกลับขึ้นมาเป็น 3.5

• พ.ศ. 2552 (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี) การคอร์รัปชันในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น จากยุคของนายสมัครและนายสมชาย ค่า CPI ลดลดเป็น 3.4

• ในปี 2549 ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับความโปร่งใสที่ 63 จาก 163 ประเทศทั่วโลก (คะแนน 3.6 จาก 10 คะแนน) โดยมีค่าความเชื่อมั่นระหว่าง 3.2-3.9 ซึ่งใช้ข้อมูลจาก 9 แห่ง อยู่ในอันดับเดียวกันกับประเทศเลบานอน และซีเชลล์ ในขณะที่ปี 2548 ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 59 จาก 158 ประเทศทั่วโลก (คะแนน 3.8 จาก 10 คะแนน) โดยมีค่าความเชื่อมั่นระหว่าง 3.5-4.1 ซึ่งใช้ข้อมูลจาก 13 แห่ง

• ในปี 2549 ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 9 จาก 21 ประเทศในเอเชีย (ไม่รวมเอเชียกลาง และตะวันออกกลาง) ในขณะที่ปี 2548 ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 7 จาก 20 ประเทศในเอเชีย

• ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่เริ่มจัดทำ CPI ขึ้น ไทยมีคะแนนต่ำสุด(เกิดคอร์รัปชันสูงสุด)ในพ.ศ. 2538 (นายชวน หลีกภัย จาก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี) โดยได้ 2.79 คะแนน และมีคะแนนสูงสุด(เกิดคอร์รัปชันน้อยที่สุด)ใน พ.ศ. 2548 (พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จากพรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรี) โดยได้ 3.8 คะแนน

ชัดเจน บทความ"ลิงโกง"มั่ว พยายามเปรียบเปรยให้ผิดจากความจริง

มาเรื่องล่าสุด..ปรส. ปปช.ที่เคยพุดว่า"การทุจริตเลวร้ายกว่าการยึดอำนาจ" ก็ในเมื่อเลวร้ายกว่าแล้วทำไมรัฐบาลที่แล้ว พวกคุณ ยังเป้น ปปช.อยู่ทำไม ถึงปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชั่นเพิ่มขึ้น(ดูจากการจัดอันดับคอรัปชั่นล่าสุดในตาราง) พวกคุณทำอะไรอยู่ ในเมื่อมี ปปช.คนดีอย่างพวกคุณที่เกลียดการโกงกินมากไม่ใช่เหรอ แต่ดูผลงานทำไมแย่ละ แล้วนี่ ปรส..มูลค่า8แสนกว่าล้าน ไหนละ คดีใกล้จะหมดอายุความแล้วนะเว้ย....ไอ้พวกคนดีจอมปลอม

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeU5EVXpOalkzTlE9PQ==&sectionid=

เหวงดัน "ปปช." เคลียร์คดีปรส.ด่วน

วันที่ 22 ธ.ค. ที่รัฐสภา น.พ.เหวง โตจิราการ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตนอยากทวงถามความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดีการขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่ได้นำทรัพย์สินของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการ มูลค่ากว่า 8.5 แสนล้านบาท ไปประมูลขายเพียง 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งการกระทำดังกล่าวของปรส. ขัดต่อกฎหมายที่แก้ไขสถาบันการเงินด้วยการฟื้นฟูฐานะบริษัทที่ถูกระงับกิจการ อีกทั้ง ยังไม่มีการแยกหนี้ดี หนี้เสีย ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม อยากให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวก่อนที่คดีจะหมดอายุความในปี 2556