ทฤษฎี Superclass เป็นเรื่องจริงหรือแค่เพียง Subset ของ Conspiracy Theory ?
คนที่คิดค้นเรื่องชนชั้น Superclass เดิมทีก็คงเหล่หาแต่กลุ่มชนชั้นนำ Elite class จากการอ่านหนังสือเลหลัง ดูทีวีหลังเที่ยงคืน ดูอินเตอร์เน็ต มองฟ้า มองดาว โดยไม่ต้องติดตามข่าวสารโดยไม่ต้องใช้ตรรกะใดๆ ก็จินตนาการออกมาว่า ในโลกนี้มีกลุ่มคนที่เรียกว่า Superclass อันหมายถึงกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อคนส่วนใหญ่ระดับนานาชาติหรือระดับโลก ซึ่งนอกจะหมายถึงผู้นำประเทศใหญ่ๆ และนักธุรกิจข้ามชาติแล้ว ยังรวมถึงกลุ่มนักคิดนักเขียนที่ทรงอิทธิพล และผู้นำกลุ่มก่อการร้ายระดับโลกด้วย
ด้วยเขาคิดว่าการเจาะลึกลงรายละเอียดรายบุคคลจะทำให้สูญเสียภาพรวมอันเป็น global เขาจึงเพิกเฉยเสีย แต่อย่างไรเรื่อง Globalization หรือหมู่บ้านโลก หรือโลกาภิวัตน์ ก็เป็นกระแสน้ำใหญ่ที่ไม่นำมาพิจารณาด้วยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นกลุ่ม Superclass จะตกกระแสโลกเสียเอง
เขาจินตนาการว่าเหล่า Superclass เกี่ยวข้องในเรื่องเศรษฐกิจ (ธุรกิจ) การเมือง และการทหาร ด้วยทุนเป็นปัจจัยหลัก เหล่า Elite ทั้งหลายมีความคล้ายคลึงกันเองมากกว่าคล้ายกับคนส่วนใหญ่ในประเทศของตน แถมยังพบปะสังสรรค์กันเอง ทำธุรกิจโยงใยกันเอง เข้าใจกันเอง แต่ไม่มีความเห็นใจและเข้าใจคนส่วนใหญ่ เขาจะควบคุมโลก จะปกครองโลกด้วยความขัดแย้ง สงคราม และภัยพิบัติ ฯลฯ
คิดไปคิดมา เฮ้ย มันจะวนเข้ากรอบ Conspiracy Theory หรือทฤษฎีสมคบคิดแล้วนี่หว่า เฮ้ย ไม่ได้ ๆ ต้องรีบปฏิเสธลัทธิ ศาสนา เสียก่อน ไม่งั้นทฤษฎี Super จะเป็น Supper ไปง่าย ๆ (ฮา)
คนที่คิดค้นทฤษฎี Superclass ก็น่าจะเป็นคนอีกกลุ่มที่ติดกับในกรอบและหล่มโลกาภิวัตน์เท่านั้นเอง
โชคดีที่คนเสื้อแดงไม่สนใจทฤษฎี Superclass ไม่เช่นนั้น หากรวม นักคิดนักเขียนหัวใจสีแดง ที่รักความเป็นธรรมทั่วโลก เป็นเครือข่าย Superclass แล้ว รับรอง Elite class ตกใจกระอักเลือดตายระดับ global เลยเชียว
=======================
ผมคิดว่าคนเสื้อแดงยกวาทกรรม "อำมาตย์-ไพร่" มาใช้ ก็เพื่ออธิบาย Elite class - Lower class ให้เห็นชัดเจนว่ามีการคบคิดกันแบ่งชนชั้น จนคนกลุ่มที่มีอำนาจเหนือกว่าทางเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร สังคม หรือแม้แต่เทคโนโลยี อ้างชาติกำเนิด ฐานะ การศึกษาตั้งตนเป็นกลุ่มที่เหนือกว่า กดขี่กลุ่มที่ด้อยกว่าในสังคม จนการพัฒนาสังคมบิดเบี้ยวอย่างปัจจุบัน
กลุ่มอยู่ตรงกลาง คือกลุ่มที่มีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน แต่มีส่วนแบ่งสูงในปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร พวกที่เกิดอัตตาอยากจะถีบตนเองเป็นกลุ่มที่เหนือกว่า ก็แอบอิง/เชิดชู Elite class ขณะที่กลุ่มเข้าใจความจริงแห่งโลก จะเข้าอกเข้าใจ lower class และหวังปรับปรุงสังคมให้ไร้ซึ่งชนชั้น แม้จะค่อนไปทางอุดมคติ แต่ก็ใช่ว่าจะไปไม่ถึง
ประชาธิปไตย จึงเป็นสิ่งที่ทุกชนชั้น กลายเป็นระดับเดียวกัน คือ มีสิทธิ์เป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ถึงแม้ต่างกันด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร สังคม และเทคโนโลยี ก็ไม่ใช่สิ่งจะมาแบ่งแยกความเป็นมนุษย์
คนจะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขได้ถ้าเข้าใจความเป็นมนุษย์ และมีความเป็นมนุษย์ในตัว
ความดี - ความเลว มิใช่เครื่องมือชี้วัดที่ดีเด่อะไร เพราะหน้าฉากมันฉาบฉวยได้ ปรุงแต่ง หลอกลวงได้ คนดีในสังคมเป็นเพียงเขาแสดงเก่ง สร้างภาพเก่งเท่านั้นเอง แต่ในจิตใจบางคนเลวทรามยิ่งกว่าฆาตกรเสียอีก
ความรวย - ความจน, ความฉลาด - ความโง่, ลูกผู้ดี - ลูกไพร่, คนเรียนสูง - คนเรียนต่ำ, คนมีศีลธรรม-คนไม่มีศีลธรรม เหล่านี้ ก็เช่นกัน เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น ไม่สามารถจำแนกได้แท้จริง เพราะจิตใจ มันวัดกันด้วยปัจจัยภายนอกไม่ได้
แต่ความเป็นมนุษย์ วัดกันได้ มนุษย์ไม่ฆ่ามนุษย์ มนุษย์ไม่เบียดเบียนมนุษย์ เราไม่อยากให้ใครมาทำร้าย เบียดเบียนหรือให้ร้ายเรา เราก็ไม่ควรไปทำร้าย เบียดเบียนหรือให้ร้ายใคร มนุษย์ช่วยเหลือเผื่อแผ่กันเสมอ ก็แค่นั้นเอง ไม่ต้องอ้างชาติกำเนิด ไม่ต้องอ้างปริญญา ไม่ต้องอ้างถิ่นฐาน ไม่ต้องอ้างความรวยความจน ไม่ต้องอ้างตนดีมีศีลธรรม ด้วยวาจา ด้วยการสร้างภาพ การกระทำเท่านั้นที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน สอดรับกับแนวคิดประชาธิปไตย ที่ทลายกำแพงทุกชนชั้น
ตามแนวคิดนี้ Superclass ก็หมดความจำเป็น โดยไม่ต้องประกาศว่าพระเจ้าตายแล้วอย่างนิทเช่
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ก็จริง แต่จินตนการที่ปราศจากความรู้ก็เป็นเพียงความฟุ้งซ่านเท่านั้นเอง