ประชาชนไม่ได้หลบหลู่ศาล แต่เป็นศาลที่ลบหลู่ประชาชน !!!
|
 |
ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่าน 3 สถาบันหลักคือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
ทั้ง 3 สถาบันจะต้องรับใช้ประชาชน ศาลก็เช่นกัน
เมื่อมีการยึดอำนาจด้วยกำลังทหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 มีบุคคลกลุ่มหนึ่งกระชากอำนาจอธิปไตยออกไปจากกำมือประชาชน เข้ามาทำตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ออกกฎหมายเอง (คำสั่ง และประกาศของ คปค. รวมทั้ง รธน.49) บริหารเอง (หน.คปค. สั่งการแทน ครม.) ยุบ/แต่งตั้งศาลเอง (ยุบศาลรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ) โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชน จึงไม่ได้ใช้อำนาจเหล่านั้นเพื่อรับใช้ประชาชน
คณะผู้ก่อการย่อมกระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 113
ประชาชนย่อมมีสิทธิ์ขัดขืนการใช้อำนาจคณะรัฐประหาร พระมหากษัตริย์ย่อมมีสิทธิ์ขัดขืนการใช้อำนาจคณะรัฐประหาร อำนาจทั้ง 3 ย่อมมีสิทธิ์ขัดขืนการใช้อำนาจของคณะรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 - 24 สิงหาคม 2550 คปค./คมช. มีฐานะเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ หากอำนาจทั้ง 3 จะรับใช้ คปค./คมช. ก็คงพอจะเข้าใจได้ว่าทำไปเพราะกลัว ในอำนาจปืน จึงใช้กฎหมายตามที่องค์รัฏฐาธิปัตย์ตั้งมาพิจารณาคดีความ
แต่ภายหลัง 24 สิงหาคม 2550 รธน.50 มีผลบังคับใช้ หากศาลยังก้มหัวให้ คปค./คมช. อยู่ ย่อมไม่อาจจะคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากศาลจะลบหลู่ ประชาชนด้วยการก้มหัวให้คณะรัฐประหาร ประชาชนที่รักความเป็นธรรม ย่อมเสื่อมศรัทธาต่อศาลเป็นธรรมดา
สมดังอมตะวาจาที่ว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม" นั่นเอง
หากศาลยังมีเหตุผลอื่นใดที่ยังก้มหัวให้ คปค./คมช. ย่อมแสดงว่า อำนาจอธิปไตย ยังไม่กลับคืนสู่มือประชาชนอย่างแท้จริง นั่นเอง
จึงสมควรที่สภาผู้แทนราษฎร จะต้องรีบแก้ไขกฎหมายให้ถูกต้องโดยเร็ว โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญ 50 ที่ร่างในยุค คมช.
จึงสมควรที่ศาล จะต้องเรียกศรัทธาคืน ด้วยการปฏิเสธอำนาจ คปค./คมช. ทั้งหมด และกระทำในทันที
จากคุณ |
:
ศาลายา
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ม.ค. 55 20:15:03
A:103.1.164.45 X:
|
|
|
|