"พม่า" สอน "ไทย"
โดย สรกล อดุลยานนท์
P { margin: 0px; } (ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 14 มกราคม 2555)
"ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง บอกว่า เราเป็นพี่น้องโกรธกันมา 63 ปีแล้ว ขอให้รัฐบาลพม่าให้ทุกอย่างที่เคเอ็นยูต้องการ"
นี่คือ คำพูดของนายขิ่น ยี รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมืองของพม่า ก่อนการลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับตัวแทนของกะเหรี่ยงเคเอ็นยู
เวลา 63 ปี ยาวนานพอที่จะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเคียดแค้นและอาฆาตให้เติบโตขึ้นในใจของชาวพม่าและกะเหรี่ยง
ในฐานะ "ผู้นำ" ทุกคนมีทางเลือกเพียงแค่ 2 ทาง
ทางหนึ่ง คือ รดน้ำพรวนดินให้ต้นไม้แห่งความแค้นเติบใหญ่ขึ้น
ด้วยความเชื่อว่า "สงคราม" จะทำให้เราเป็นผู้ชนะ
หรืออีกทางหนึ่ง คือ ค่อยๆ ลิดรอนกิ่งใบของต้นไม้นี้ด้วยการประนีประนอม
และปลูกต้นไม้แห่ง "ความรัก" มาปกคลุม
ในอดีตผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายเลือกหนทางแรก ด้วยความเชื่อว่าจะเป็น "ผู้ชนะ" ในที่สุด
แต่สุดท้ายก็ "พ่ายแพ้" ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
วันนี้ผู้นำรัฐบาลพม่าและกะเหรี่ยงเคเอ็นยูเลือกใช้ "การประนีประนอม" เป็นอาวุธ
แม้ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับว่าการพบปะเพียงครั้งเดียวคงไม่สามารถยุติการสู้รบอย่างสิ้นเชิงได้
แต่ "แสงสว่าง" แห่ง "ความหวัง" ได้เปล่งประกายขึ้นมาแล้วในความมืดมิด
วันนี้ "พม่า" กำลังสอนบทเรียนเรื่อง "สันติภาพ" ให้กับคนไทย
เป็นบทเรียนที่สอนว่า "สันติภาพ" เกิดได้ถ้าเราตั้งใจ
พม่า-กะเหรี่ยงเคเอ็นยู รบกัน-ฆ่ากันมานานถึง 63 ปี เขายังยอมเจรจาและยุติการสู้รบ
คนไทยที่แบ่งสีแบ่งฝ่ายมาเพียง 5-6 ปี ทำไมจะยุติความขัดแย้งไม่ได้
"เนลสัน แมนเดลลา" บุรุษแห่งสันติภาพของประเทศแอฟริกาใต้ เคยบอกว่า "การประนีประนอม" เป็นศิลปะแห่งความเป็น "ผู้นำ"
และคุณต้องประนีประนอมกับ "คู่ต่อสู้"
ไม่ใช่กับ "เพื่อน"
แต่ส่วนใหญ่ "ผู้นำ" ของแต่ละฝ่ายมักจะวางท่า ไม่ยอมยืดหยุ่น ตั้งหน้าตั้งตาทำลายชื่อเสียงหรือทำให้คู่แข่งอ่อนแอ
ไม่มีใครเอาใจใส่ในการรวบรวมประเด็นต่างๆ เพื่อสร้างความสามัคคีระหว่างกัน
"แมนเดลลา" บอกว่า ในการโต้แย้งทุกครั้ง เมื่อถึงที่สุดแล้วคุณจะไปถึงจุดที่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดหรือถูก
"การประนีประนอม" จะเป็นเพียงทางเลือกเดียวสำหรับผู้ที่ต้องการสันติภาพและเสถียรภาพอย่างจริงจัง
ความขัดแย้งของสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมาได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังขึ้นในใจคนไทย
ต้นไม้ต้นนี้จะเติบโตต่อไป หากทั้ง 2 ฝ่ายยังเชื่อว่าตนเองจะเป็น "ผู้ชนะ" ในที่สุด
แต่อย่าลืมว่าความเชื่อเช่นนี้ทั้ง "พม่า" และ "กะเหรี่ยง" เคยเชื่อมานาน 63 ปี
ก่อนวันนี้จะสรุปได้ว่าสิ่งที่เขาเชื่อมานั้นผิดพลาด
ดังนั้น หากคนไทยอยากลิดรอนต้นไม้ต้นนี้ไม่ให้งอกงามต่อไป
เราต้องกล้าหาญที่จะ "ประนีประนอม"
กล้าลืมความแค้น และกล้าให้อภัย
ที่มา (( กด ))
มาดูความคิดของพรรคเก่าๆ ที่แสดงออกมาผ่านทาง
1.กองเชียร์พรรค โดยเฉพาะในห้องนี้มุมมองและแนวคิดเห็นได้ชัดๆเลยว่าพร้อมที่จะเชื่อทุกอย่างที่พวก"ดีแต่พูด"โปรแกรมความขัดแย้งให้อยู่ในหัว กล้าแม้ทั่งหากล่าวหาคนที่ถูกทำร้ายในเหตุการณ์ล้อมปราบประชาชนว่า เป็น"โจร"เห็นคนไทยด้วยกันต่ำต้อยกว่าสั ตว์ Dayรัฐฉาน ทั้งที่ความขัดแย้งมีเพียงความเห็นต่างทางการเมืองเท่านั้นเอง
ไม่กลัวแม้กระทั่ง คุก-ตะราง ที่ญาติผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บจะฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
2.การแสดงออกของ ส.ส.และหัวหน้าพรรคเก่าๆพรรคนั้น เห็นได้เลยว่า อยู่ตรงข้ามการปรองดอง คำพูดคำจาและการกระทำเหมือนกับหการพยายามเติมเชื้อไฟอยู่ทุกวัน
ความพยายามเดียวที่พรรคนี้กำลังทำคือ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง โดยไม่สนวิธีการและความเสียหายที่จะเกิดตามมา
3.การดำเนินการแยกกันตี วันนี้เริ่มเห็นได้ชัดว่า การเคลื่อไหวของม็อบ"ข้างถนน"เริ่มมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ ข้อสงสัยที่น่าติดตามคือ
-ม็อบหมอตุลย์ เคลื่อนไหวสอดคล้องกันกับพรรคเก่าๆหรือไม่???
-ม็อบยาง เคลื่อไหวในลักษณะเป็นขบวนการจัดตั้ง มาเร็ว เครมเร็ว จนแลดูน่าสงสัย
4.แนวคิดของ1000ยา นายกร ที่แสดงออกทาง FB อันนี้เห็นได้ชัดเจนถึงแนวคิดที่เป็นอันตรายต่อการปรองดองและความสงบสุของประเทศไทยในอนาคต แนวคิดนี้ถ้าพรรคไม่รู้ไม่เห็นก็แปลกแล้ว แต่เมื่อรู้เห็นกันกลับเงียบเชียบเหมือนกับเป็นที่ยอมรับแต่โดยดี
ประชาชนทั้งหลาย อยากให้ชาติสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง ต้องช่วยกันพัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า อย่าให้แนวคิด"เก่าๆเดิมๆ"เหล่านี้ครอบงำได้
ไม่งั้น การที่ลาว เขมร พม่า จะพัฒนาจนแซงประเทศไทยไปเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากครับ ถ้าพวกคิดเก่า ทำเก่า มุ่งจะสร้างแต่ความแตกแยก เพื่อผลประโยชน์ของตนเองได้ขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง