ย้อนหลังไปก่อนการเลือกตั้ง
ประชาชนชาวไทย มักจะได้ยินบ่อย ๆ ว่า ขอให้คนไทยทุกคน ยอมรับผลการเลือกตั้ง
ใครได้เสียงข้างมาก ก็ปล่อยให้เขาทำงานไป ตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ (สัญญาประชาคม)
เหล่า วิตถารชน ขานรับกันเซ็งแซ่ ว่าเออเว้ยเฮ้ยยย เอากติกาตามนี้นะ
เจ้าพวกด้อยไร้การศึกษา อย่าได้บิดเบี้ยว ออกมาวุ่นวายอีกเราถือกติกากันแบบนี้
แต่พอครั้นเลือกตั้งเสร็จ
รัฐบาลได้คะแนนมากถึง 15.7 ล้านเสียง
แต่กลับมีคนออกมาบอกว่า ต้องให้ความสำคัญกับเสียงส่วนน้อย 11.4 ล้านเสียงด้วย นั่นก็ยังพอทำเนา
แต่วิตถารชนบางคน บอกว่าเฮ้ย ๆ ๆ ประเทศนี้ มีประชากรตั้ง 60 ล้าน เอ็งไช่เสียงส่วนใหญ่เว้ยเฮ้ยย
ไอ้ที่เหลือตั้งแต่แรกเกิด ยังไม่ประสีประสาที่จะออกเสียงทางการเมืองหนะ ข้านับรวมมาที่ฝั่งข้าหมด (ฮา)
ไอ้ที่บอกกันไว้ก่อนเลือกตั้งหนะ พูดเล่น ๆ แค่นั้น
ตรรกะพิลึก ๆ แบบนี้ บอกกันตรง ๆ ว่า รับไม่ได้
ก่อนโน้น ก็มาชี้หน้าบอกว่า เล่นตามนี้
พอเล่นเสร็จมีผลแพ้ชนะ บอกเฮ้ยไม่ใช่
งอแง งี่เง่า จนถึงขนาดไปตั้งฉายาว่า รัฐบาลโจร (ชนิดที่ประชาชนอาจแอบ งง ว่า เอเขาด่าพรรคประชาธิปัตย์ทำไม) หลังจากเพียร พยายาม ตั้งฉายาอันโน้น อันนี้ อันนั้น แต่จุดไม่ติด
เพราะแบรนด์ "ดีแต่พูด" มันติดหน้าผากได้สนิทแนบแน่นกว่า เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ทำออกมาให้สังคมเห็นได้ตลอดเวลา และเป็นนิสัยถาวรอันมิสามารถจะแก้ไขได้อีกแล้ว
แค่มีผู้หญิงชูป้ายคนเดียว สังคมก็อนุมัติว่า"ใช่"
โดยไม่ต้องให้ไทยโป้ดดดดด...เพียรพยายาม เขียนปั่นให้กระแสจุดติด
หรือให้วอร์รูม พยายามมาช่วยตามโลกไซเบอร์
กติกา ที่กำหนดไว้นั้น มีไว้เพื่อให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสุข
ชาติที่เจริญแล้ว จะไม่มีปัญหา เมื่อถึงเวลา เขาก็ยอมรับในกติกาที่เขียนไว้
ประเทศใดใช้ กติกู เป็นหลัก ในการควบคุมสังคม
มักจะจบไม่ค่อยสวย ความเสื่อม ความวิบัติ มันจะถามหา (แล้วท่านก็อย่าได้ไปโทษใคร)
แพ้ด้วยกติกา ก็เอาปืนจี้ ล้มกันใหม่ อยู่ร่ำไปเช่นนี้
ควรตั้งชื่อประเทศนี้ใหม่ว่า
ประเทศวิตถาร อยู่กันด้วยกฏ กติกาแบบวิตถาร
พวกข้าต้องชนะ ต้องเป็นผู้ที่เหนือกว่าอยู่เสมอ
เป็นเสียงข้างมาก ก็อ้างอีกอย่าง เป็นเสียงข้างน้อย ก็พูดไปอีกทาง
เพราะที่นี่ คือสังคมวิตถารชน