แต่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับวรเจตน์ครับ

เพราะข้อหาล้มเจ้า,หมิ่นฯ,
ไปจนถึงข้อหาไม่จงรักภักดี
เป็นอะไรที่คลาสสิคมากมายจริงๆ

ครอบจักรวาล และ ทรงอานุภาพมากๆ
กับการเอา ม.112 มาใช้เป็นเครื่องมือในการประหัตประหารกัน

การวิพากษ์วิตารณ์นั้น
ผมมองว่ามันต้องดูบริบทของการวิพากษ์วิจารณ์ด้วย
ว่าตกลงแล้วอะไรมันคือการ "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"

หรือว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นไปโดยสุจริต

ม.112 เป็นเรื่องอ่อนไหวครับ
อ่อนไหวมากจนกลายเป็นดาบ 2 คม
คมแรกใช้เป็นกำแพงในการป้องกันราชวงศ์จากพวกอยาก "ล้มเจ้า"

แต่อีกคมหนึ่งนั้น มันถูกใช้เป็นอาวุธในการ "เช็คบิล" ฝ่ายซ้ายจัดทางการเมือง

แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ฝ่ายซ้ายจัดไม่ได้หมายถึงพวกอยากล้มเจ้านะครับ

เพราะมันคนละเรื่องกันเลย

ฝ่าย "ไม่โปร" ราชวงศ์นั้น
ในทางการเมืองมันมีอยู่ได้ทั้งซ้าย และ ขวา ครับ

แต่พอใครออกมาพูดเรื่องแก้ ม.112
ก็จะถูกยัดเยียดข้อหา "ล้มเจ้า" ทันที

และถ้าหาก 1 ในผู้สนับสนุนให้แก้ ม.112
มีชื่อของอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน
ที่เป็นที่รู้กันว่าจัดอยู่ในชนชั้น "อีลิท" และอยู่ในฝ่ายขวาที่ "นิยมเจ้า"

แบบนี้เราจะรวมคุณอานันท์
ผู้ที่เคยทำงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
ในช่วงที่รับหน้าที่เป็นนายกฯหลังการปฏิวัติ และพฤษภาทมิฬ
เข้าไปไว้ใน 1 ของคนที่คิดอยากล้มเจ้าเพียงเพราะ "ผู้ดีรัตนโกสินทร์" ผู้นี้

สนับสนุนการแก้ ม.112 เชียวหรือครับ...!!!!!!

สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่รวมใจของคนในชาติ
การที่จะให้สถาบันนั้น "คงอยู่" ต่อไปนานเท่านาน
มันอาจต้องมีการปรับตัวเข้ากับยุคสมัยบ้างตามสมควร

ยิ่งในยุคที่เกิดปัญหาทางการเมือง
และมีการนำเรื่องของสถาบันมากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามด้วยแล้ว
การแก้ ม.112 ให้มีความรัดกุม และลดช่องโหว่ให้มากขึ้นอาจเป็นอีกทางออกครับ

ผมแสดง คห.โดยรวมๆ
ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่กรณี "อากง"
เพราะผมไม่รู้ในรายละเอียดปลีกย่อย
ของการฟ้องร้อง และการต่อสู้คดีของทั้ง 2 ฝ่าย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
ก็ทรงแสดงน้ำพระทัยที่กว้างขวางของพระองค์
โดยการตรัสไว้ในวันที่ 4 ธค.48 ในเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์พระองค์

ในหลวงทรงตรัสว่า "the king can do wrong"

และได้ทรงขยายความต่อออกไปว่า
"การเป็นกษัตริย์นั้นต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้
เพราะหากวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ กษัตริย์ก็คงไม่ใช่มนุษย์"

นี่คือความใจกว้างของพระองค์ครับ

ผมมองว่าบทลงโทษของ ม.112 รุนแรง
และถูกใช้เป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่าการปกป้องสถาบันซะอีก

ใครต่อใครต่างก็สามารถฟ้องร้องอีกฝ่ายได้ทั้งนั้น

แบบนี้ก็อย่าไปหาความสมานฉันท์เลยครับ

แดงก็อ้างว่ารักสถาบัน
เหลืองก็อ้างว่ารักสถาบันมากกว่าแดง
น้ำเงินก็บอกว่าพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อสถาบัน
พวกหลากสีก็บอกว่าจะเทิดทูนสถาบันยิ่งกว่าชีวิต

แต่ที่เป็นอยู่
ก็คือการอ้างสถาบัน
และเอา ม.112 มาใช้ทำลายคนที่อยู่ตรงข้ามทั้งนั้น

เราคงไม่ต้องถึงขนาดเอาอย่างสหราชอาณาจักร
ที่สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 โดนวิพากษ์วิจารณ์
หรือแม้แต่การสร้างหนังออกมาฉาย เพื่อให้เห็นแง่มุมของพระองค์

คงไม่ต้องเหมือนกษัตริย์โบดวง แห่ง เบลเยี่ยม
คงไม่ต้องสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 2 แห่ง เดนมาร์ก
คงไม่ต้องเหมือนสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ แห่ง เนเธอแลนด์

ที่โดนวิพากษ์วิจารณ์แบบแรงๆจากพสกนิกรของพระองค์หรอกครับ

วัฒนธรรมของเรากับเขามันต่างกัน....

อีกทั้งกษัตริย์ ตามความรู้สึกสำหรับคนไทยเราคือ "สมมุติเทพ"

หากจะพูดถึงในหลวง
ก็ให้มันพอเหมาะพอควรตามที่ควรเป็นก็พอ

และที่สำคัญ
ควรดูแลไม่ให้มีการใช้ ม.112 มาเป็นกลไกทางการเมือง
โดยอ้างความผูกขาดในเรื่องการจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน

และยัดเยียดข้อหา "ล้มเจ้า"ให้อีกฝ่ายก็พอ

เพราะพระองค์ก็คงไม่ทรงต้องการให้พสกนิกรของพระองค์
ต้องมามีชะตากรรมรับโทษในเรื่องที่มีคนเอาไปเชื่อมโยงถึงพระองค์แน่ๆครับ

ก่อนหน้านี้พวกนิติราษฏร์ก็เคยโดนน่วมมาแล้ว

จากแนวคิดเสนอให้มีการแก้ไข รธน.

คราวนั้น...วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คนนี้นี่แหละ
ที่โดนซะน่วมแบบจำเลขที่บ้านไม่ได้เลยครับ

กลุ่มนิติราษฏร์
คือกลุ่มนักวิชาการ
ที่ถูกมองว่าเลียแข้งเลียขาแม้ว

โดยเฉพาะวรเจตน์
ที่ครั้งนึงเคยมีเรื่องซุบซิบด้วยซ้ำไป
ถึงความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกับน้องเอม...ลูกสาวแม้ว

แต่ในความเป็นจริง
หากติดตามการทำงานของวรเจตน์มาพอสมควร
มันเห็นชัดเจนเลยครับว่าตอนแม้วมันครองอำนาจนั้น
วรเจตน์คือคนที่วิพากษ์วิจารณ์แม้วมากที่สุดคนหนึ่งเลย

ส่วนเรื่องชู้สาวนั้น
แมงเม้าท์ก็พูดกันไปเรื่อย
โดยที่ไม่รู้กันเลยว่าอาจารย์คนนี้เขามีเมียแล้ว

และไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับลูกสาวแม้วมันเลย

แถมมีอยู่ช่วงนึงที่ผมว่าแม้วมัน "เหม็นขี้หน้า" วรเจตน์ด้วยซ้ำไป

แต่การที่วรเจตน์กับพวก
ออกมาในนามกลุ่มนิติราษฏร์
เสนอความเห็นในเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนั้น

มันเป็นเพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ 19 กย.ครับ

ไม่ได้รัก หรือชอบอะไรแม้วมันหรอก
เพราะตอนนั้นกลุ่มนี้ก็พากันวิพากษ์แม้วแบบ "ถอนขน"

ตอนนั้น.....นิติราษฏร์เสนอความเห็นแบบหักดิบ
ให้ "ลบผลพวงจากการปฏิวัติ 19 กย.และให้ทุกอย่างหลังจากนั้นไม่มีผลอะไรเลย"

แน่นอนว่าโดนด่าจากฝ่ายเกลียดแม้ว
และได้รับเสียงเชียร์จากคนที่เลือกพรรคเพื่อแม้ว

ผมมองว่าพวกเขาก็มีสิทธิ์แสดง คห.ในฐานะนักวิชาการครับ

ไม่ว่าข้อเสนอนั้นจะเป็นประโยชน์
หรอว่าเป็นโทษกับใคร...เขาก็มีสิทธิ์คิดออกมาดังๆ

นักวิชาการฝ่ายที่เกลียดแม้วก็มีมากมาย
และก็มีคนเคยเสนอความเห็นอะไรมากมาย
ที่เป็นคุณกับฝ่ายปฏิวัติ และ อำมาตย์ แต่เป็นโทษกับแม้ว

แน่นอนว่าก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกองเชียร์ทั้ง 2 ฝ่ายเช่นกัน

เห็นมั๊ยครับ...เป็นเรื่องปกติมากๆ

ก็พวกเขาเป็นนักวิชาการนี่ครับ
มันก็ต้องทำหน้าที่สนองสังคม
เป็นเรื่องธรรมดามากๆในการแสดงความเห็น

ทั้งฝ่ายชอบ และ ฝ่ายแช่งแม้ว ก็แสดงความเห็นพอๆกันนั่นแหละ

ประเด็นของฝ่ายนิติราษฏร์ในตอนนั้น
เขาไม่ได้ขอให้เยกเลิก รธน.ปี 50 นะครับ
แต่เขาขอให้การนิรโทษกรรมกับคนที่ทำการปฏิวัตินั้น "ไม่มีผล"

แหมมม...มันตลกยิ่งกว่า เท้ง เถิดเทิง ซะอีก
ก็เล่นปฏิวัติเอง และออกกฏหมายเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด

และที่เจ็บแสบคือ
คนปฏิวัติในตอนนั้น
มาวันนี้ดันมาลงเลือกตั้ง
และเข้าไปนั่งเป็น สส.ตามระบอบประชาธิปไตย

ระบอบประชาธิปไตยที่ตัวมันนั่นแหละปฏิวัติในวันที่ 19 กย.

แต่โทษทีครับ
ได้เป็นแค่พรรคต่ำ 10 ...อืมมม..ต่ำ 5 ด้วยซ้ำไป

ประเด็นของพวกนิติราษฏร์
คือการแสดงความ "ไม่เห็นด้วย" กับการปฏิวัติ
และนำมาซึ่งการ "ออกกฏหมายต่างๆเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง"

แต่จ้องที่จะพิฆาตฝ่ายตรงข้ามครับ

เอื้อประโยชน์ให้ตนเองยังไง ???
ก็ลองตรวจสอบดูซิครับ ว่าพวกที่ปฏิวัตินั้นแต่ละคนร่ำรวยสุขสบายแค่ไหน ??

เอะอะก็อ้างความรักชาติ รักสถาบัน
ในแบบ "ผูกขาด" ไว้กับกลุ่มกับก๊วนของตนเอง
แถมยังออกมาผลักใสอีกฝ่ายว่าล้มเจ้า และยังไล่ตะเพิดให้พวกเขาไปอยู่ประเทศอื่น

ทั้งๆที่พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะรักในหลวง และอยู่ในประเทศนี้ได้เท่าๆกับพวกคุณ

นี่แหละครับ......วาทกรรมจอมปลอมที่พร่ำพูดกันว่า "ปรองดอง"

ผมเชียร์วรเจตน์ทั้งเรื่อง ม.112 และ การแก้ไขผลพวงจากการรัฐประหารครับ !!!!!