สรุปผลการติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัย และการบริหารจัดการน้ำ ในพื้นที่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ของนายกรัฐมนตรี
หลังจากคณะกรรมการ กยน. ได้กำหนดยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยมีสาระสำคัญคือ
- น้ำต้องมีที่อยู่
- น้ำต้องมีที่ไป
- ประชาชนต้องได้รับการดูแล
- พื้นที่ชุมชน เศรษฐกิจสำคัญ ทั้งระดับจังหวัดและระดับประเทศต้องได้รับการป้องกัน
- พื้นที่เกษตรกรรม-ทุ่งรับน้ำ (แก้มลิง) ที่อยู่นอกพื้นที่ป้องกัน รวมทั้งพื้นที่ที่นำมาใช้ผันน้ำหลาก (Floodway) จะต้อง ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
นายกรัฐมนตรีได้นำคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการ กยน. ลงพื้นที่เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัย และการบริหารจัดการน้ำ ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ระหว่างวันที่ 13-17 กุมภาพันธ์ 2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ติดตามงานการแก้ไขปัญหาตามแผนงานและโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณ รวมทั้งการฟื้นฟู เยียวยา การช่วยเหลือครัวเรือนที่ประสบอุทกภัย
2) ทำความเข้าใจร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ (Area) และส่วนราชการในระดับกระทรวง/กรม (Function) เกี่ยวกับแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และการบริหารจัดการน้ำตามที่ กยน. กำหนดทั้งระยะเร่งด่วน และระยะยั่งยืน
3) รับฟังความเห็น และข้อเสนอแนะของประชาชนในพื้นที่ เพื่อนำไปปรับปรุงและอนุมัติแผนงานและโครงการเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ (FlagShip)
ทั้งนี้ได้แบ่งกลุ่มการติดตามงานตามแผนแม่บทออกเป็น 4 กลุ่มพื้นที่ รวม 31 จังหวัด ประกอบด้วย
1) พื้นที่ต้นน้ำ ประกอบด้วยพื้นที่ 10 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน และพะเยา
2) พื้นที่กลางน้ำตอนบน ประกอบด้วยพื้นที่ 6 จังหวัด คือ พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร กำแพงเพชร และชัยนาท
3) พื้นที่กลางน้ำตอนล่าง ประกอบด้วยพื้นที่ 8 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี และนครนายก
4) พื้นที่ปลายน้ำ ประกอบด้วยพื้นที่ 7 จังหวัด คือ นนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา นครปฐม ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร
พื้นที่ต้นน้ำ
พื้นที่ต้นน้ำได้ติดตามงาน และมอบหมายภารกิจให้หน่วยงานปฏิบัติ ประกอบด้วย
1) โครงการพระราชดำริ และการดูแลป่าต้นน้ำ การปลูกป่า ฝายแม้ว การรักษาระบบนิเวศ โดยมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดพื้นที่ปลูกป่าเพื่อปรับปรุงระบบนิเวศในลุ่มน้ำ ปิง วัง ยม น่าน สะแกกรัง และป่าสัก รวมพื้นที่ประมาณ 330,000 ไร่ กำหนดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 3 เดือน โดยให้บูรณาการร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน กปร. และกองทัพไทย ดังนี้
- มูลนิธิปิดทองหลังพระ กำหนดพื้นที่ปลูกป่าในพื้นที่ชุมชนตามโครงการแม่ฟ้าหลวง และมูลนิธิปิดทองหลังพระ
- สำนักงาน กปร. กำหนดพื้นที่ปลูกป่า ในพื้นที่ชุมชนโครงการหลวง
- กองทัพไทย กำหนดพื้นที่ปลูกป่า ตามแนวชายแดน
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานกระทรวงมหาดไทย กำหนดพื้นที่ปลูกป่า ในพื้นที่สูงและมีชุมชนอาศัยอยู่
2) การพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์และเตือนภัย ได้มอบหมายให้ รองนายกฯ ยงยุทธ และ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่งดำเนินการเชื่อมโยงระบบข้อมูลทุกหน่วยงานให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยกำหนดให้มี 3 เครื่องมือสำคัญ คือ
- ศูนย์ข้อมูลการจัดการน้ำแห่งชาติ ทำหน้าที่เชื่อมโยงระบบข้อมูลทุกหน่วยราชการ เป็นคลังข้อมูล และติดตามสถานการณ์แบบ Real-Time โดยการติดตั้งกล้อง CCTV
- ระบบศูนย์เตือนภัย มีการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน จัดทำระบบคาดการณ์แบบจำลองสถานการณ์และเตือนภัยในเชิงพื้นที่ มีระบบแจ้งเตือนภัยผ่าน Smart Phone, Internet และ Social Media รวมทั้งมีศูนย์รับแจ้งข้อมูล (Call Center) เชื่อมโยงเครือข่ายสื่อกระจายข่าวหมู่บ้าน และมีการประชาสัมพันธ์โดยสื่อต่างๆ ทั้ง โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และ Website ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
- พัฒนาระบบช่วยในการตัดสินใจ (Decision Support System)
3) การบริหารจัดการน้ำในเขื่อน
- ให้ปรับปรุงเกณฑ์การบริหารน้ำ (Rule Curve) ของเขื่อนใหญ่ทั้ง 33 แห่ง โดยให้มีความสมดุลในช่วงฤดูฝนและแล้ง ซึ่งต้องพิจารณาถึงน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค การป้องกันบรรเทาอุทกภัย การรักษาระบบนิเวศ การเกษตร การอุตสาหกรรม ควบคู่กันไปให้เหมาะสม
- เขื่อนสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น เขื่อนภูมิพล และสิริกิติ์ ได้ปรับเกณฑ์การบริหารจัดการ (Rule Curve) ใหม่ โดยให้มีปริมาณน้ำต่ำสุดอยู่ที่ 45% ซึ่งจะทำให้ ปี 2555 เขื่อนทั้ง 2 แห่ง สามารถรับน้ำได้ 12,000 ล้าน ลบ.ม. มากกว่า ปี 2554 ถึง 5,000 ล้าน ลบ.ม.
พื้นที่กลางน้ำ
ได้ติดตามงานและมอบหมายภารกิจให้หน่วยงานปฏิบัติ ประกอบด้วย
1) ตามยุทธศาสตร์สำคัญที่ต้องดำเนินการในพื้นที่กลางน้ำทั้งตอนบนและตอนล่าง คือการหาที่อยู่ให้น้ำ การจัดหาทุ่งรับน้ำ (แก้มลิง) ให้สามารถเก็บกักน้ำได้ประมาณ 5,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งต้องใช้พื้นที่ประมาณ 2 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรม และทุ่งรับน้ำธรรมชาติ โดยหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมชน ที่อยู่อาศัย ให้มีผลกระทบน้อยที่สุด จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ สามารถจัดหาพื้นที่แก้มลิง โดยการบูรณาการร่วมกันทุกหน่วยงาน ได้ดังนี้
- พื้นที่กลางน้ำตอนบน 6 จังหวัด หาพื้นที่ทุ่งเหนือนครสวรรค์ได้แล้ว 500,000 ไร่ เช่นพื้นที่อำเภอชุมแสง อำเภอบางมูลนาก ฯลฯ รับน้ำได้ประมาณ 1,850 ล้าน ลบ.ม. และได้มอบหมายให้ทุกจังหวัดในพื้นที่เร่งดำเนินการจัดหาพื้นที่เพิ่มเติมให้ ได้ประมาณ 1,000,000 ไร่ โดยจะต้องให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ที่อยู่อาศัย น้อยที่สุด
- พื้นที่กลางน้ำตอนล่าง 8 จังหวัด สามารถหาพื้นที่ทุ่งรับน้ำใต้นครสวรรค์ได้แล้ว ประมาณ 1 ล้านไร่ เช่นพื้นที่รับน้ำทุ่งบางบาล เป็นต้น รับน้ำได้ประมาณ 3,100 ล้าน ลบ.ม.
รวมพื้นที่แก้มลิงที่จัดหาได้ในปัจจุบัน ประมาณ 1.5 ล้านไร่ สามารถรองรับน้ำได้ประมาณ 4,900 ล้าน ลบ.ม.
ทั้งนี้งานที่ดำเนินการในพื้นที่แก้มลิง ประกอบด้วย การทำคันปิดล้อมในพื้นที่จำเป็น มีการก่อสร้างทางน้ำเข้า-ออกของน้ำ ขุดลอกทางน้ำ เชื่อมโยงน้ำออกจากแก้มลิง จัดหาเครื่องสูบน้ำ เพื่อเตรียมการให้พร้อมทั้งก่อนรับน้ำหลากและหลังปัญหาอุทกภัยคลี่คลาย รวมทั้งต้องพิจารณาถึงเส้นทางคมนาคมขนส่ง และระบบ Logistics ให้สามารถใช้การได้ โดยยึดหลัก
• เชื่อมโยงแหล่งน้ำด้วยคลอง
• เชื่อมคลองเล็กสู่คลองใหญ่
• การเชื่อมโยงน้ำข้ามลุ่มน้ำ
และได้มอบหมายให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงคมนาคม ดำเนินการจัดทำแผนและโครงการโดยด่วน โดยให้ กยน. เป็นผู้กำกับติดตาม และรายงานผลการดำเนินงานให้ทราบเป็นระยะ
2) มอบหมายให้แต่ละจังหวัดทำการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของแต่ละจังหวัด รวมทั้งพื้นที่โบราณสถาน ให้ปลอดภัยจากน้ำท่วม
ทั้งนี้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการจัดทำแผนและโครงการขุดลอกคู-คลอง และสร้างคั้นป้องกันโบราณสถาน อย่างเร่งด่วน โดยให้ กยน. เป็นผู้กำกับติดตาม และรายงานผลการดำเนินงานให้ทราบเป็นระยะ
พื้นที่ปลายน้ำ
ได้ติดตามงานและมอบหมายภารกิจให้หน่วยงานปฏิบัติ ประกอบด้วย
1) การป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศและการผันน้ำ (Flood way) โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีงานที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน โดย กระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดในกลุ่มปลายน้ำคือ นนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา นครปฐม ปทุมธานี ดังต่อไปนี้
1.1 พื้นที่ป้องกันฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
- ปรับปรุงคันดินปิดล้อมริมแม่น้ำ(เจ้าพระยา ป่าสัก ถึงเขื่อนพระราม 6) และริมคลองระพีพัฒน์แยกใต้-คลอง13-คลองพระองค์ไชยานุชิต
- ซ่อมแซม ประตูน้ำ และติดตั้งสถานีสูบน้ำเพิ่มเติม เช่น ปตร.ปากคลองรังสิต คลองอ้อม คลองบ้านพร้าว
- ปรับปรุงคลองระบายน้ำภายในคันดินปิดล้อม โดยเฉพาะคลองแนวเหนือใต้
- ปรับปรุงทางน้ำหลาก (Floodway) นอกคันดินปิดล้อม ตั้งแต่แม่น้ำป่าสักมาตามคลองระพีพัฒน์แยกใต้-คลอง13-คลองพระองค์ไชยานุ ชิต-อ่าวไทย โดยขุดลอกคลอง/กำหนดขอบเขตทางน้ำหลาก/ปรับปรุงช่องทางน้ำที่ตัดผ่านถนน
- ปรับปรุงย้ายแนวคันป้องกัน จากแนวคันพระราชดำริด้านทิศเหนือไปอยู่ริมคลองรังสิตและด้านทิศตะวันออกไป ตามถนนนิมิตรใหม่ไปจนถึงคลองรังสิตพร้อมสร้าง ปตร./สถานีสูบน้ำชั่วคราว
1.2 พื้นที่ป้องกันฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
- ปรับปรุงคันปิดล้อมริมแม่น้ำเจ้าพระยา-ริมคลองพระยาบรรลือ(ฝั่งใต้)-ริมแม่น้ำท่าจีน
- ซ่อมแซมประตูน้ำและติดตั้งสถานีสูบน้ำเพิ่มเติม (ริมคันปิดล้อม) เช่น ปตร.ปากคลองมหาสวัสดิ์ ปตร.คลองพระพิมล
- ปรับปรุงคลองระบายน้ำภายในคันปิดล้อมโดยเฉพาะคลองแนวเหนือ-ใต้ ทั้งในพื้นที่ชลประทานและพื้นที่ กทม. ให้สามารถระบายน้ำไปยังพื้นที่แก้มลิงสนามชัย-มหาชัยได้
- ปรับปรุงทางน้ำหลาก(Floodway)นอกคันปิดล้อม ตั้งแต่พื้นที่ชลประทานเจ้าเจ็ดบางยี่หน ไปทาง บางเลน-นครปฐม-บ้านแพ้ว สมุทรสาคร-ลงสู่อ่าวไทย โดยการขุดลอกคลอง/กำหนดขอบเขตทางน้ำหลาก/ปรับปรุงช่องทางน้ำที่ตัดผ่าน ถนน(เช่น ถนนบางเลน-กำแพงแสน / ถนนนครชัยศรี-นครปฐม-บ้านโป่ง / ถนนเลียบคลองดำเนินสะดวก ถนนสมุทรสาคร-สมุทรสงคราม)
2) การป้องกันพื้นที่อุตสาหกรรม
- รัฐบาลได้มีแผนและงบประมาณจัดทำพื้นที่ปิดล้อมป้องกันพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม โดยการปรับปรุงคันที่มีอยู่แล้ว ทั้งในส่วนที่เป็นกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก และคันดิน ให้สามารถป้องกันน้ำไม่ให้เข้าสู่นิคมอุตสาหกรรม พร้อมทั้งปรับปรุง และเสริมให้แข็งแรงสามารถกันน้ำได้
- ควรมีแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาใน ภาพรวมที่ชัดเจน ไม่ใช่การป้องกันนิคมอุตสาหกรรมแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงการจัดการด้านโลจิสติกส์และระบบกระจายสินค้า การจัดระบบการคมนาคมขนส่ง และการเดินทางเข้าออกนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดน้ำท่วมเป็นเวลานาน และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการ ติดตาม และรายงานผลเป็นระยะ
- ในส่วนที่แต่ละนิคมฯ สร้างพนังกั้นน้ำของแต่ละนิคมฯ ถือเป็น Safety อีกชั้นหนึ่ง นอกจากที่รัฐบาลได้ดำเนินการไว้ โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้ติดตามการดำเนินงาน และรายงานผลเป็นระยะ
3) สำหรับการป้องกัน และซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจำนวน 158 แห่ง ใน 4 จังหวัด คือ อยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง และสระบุรี อนุมัติงบประมาณ จำนวน 775 ล้านบาท เพื่อเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด สำหรับการป้องกันมอบให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันจัดทำแผนป้องกันระยะยาว โดยมอบให้ กยน. พิจารณา
พร้อมกันนี้ได้พิจารณาอนุมัติดำเนินการโครงการเพิ่มเติมเร่งด่วนจากการลง พื้นที่ในครั้งนี้ (FlagShip) ซึ่งกำหนดให้ ดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายใน 3 เดือน สรุปโครงการ FlagShip ทั้งหมด 117 โครงการ วงเงินงบประมาณ 4,998.55 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแก้มลิง โครงการเร่งการระบายน้ำ โครงการป้องกันพื้นที่สำคัญ โครงการถนนและคมนาคม โครงการอ่างเก็บน้ำ และโครงการอื่นๆ และได้เน้นให้พื้นที่ในกรุงเทพมหานครเร่งดำเนินการโครงการ FlagShip เพื่อเร่งการระบายน้ำ สร้างทำนบกั้นน้ำ ก่อสร้างและปรับปรุงแนวคันคอนกรีตบริเวณแนวคันพระราชดำริ เร่งทำความสะอาดท่อระบายน้ำในชุมชนส่วนที่เหลือทั้งหมด รวมทั้งการติดตั้ง Barrier กั้นน้ำที่สามารถเคลื่อนย้ายนำไปใช้ในพื้นที่ต่างๆ ได้โดยสะดวกรวดเร็ว
นอกจากนั้นยังมีการพิจารณาถึงความสำคัญด้านภัยแล้ง โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดเตรียมโครงการจัดหาน้ำบาดาล เพื่อการอุปโภค-บริโภค และการเกษตร ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ราบลุ่มเจ้าพระยา ที่มีพื้นที่เกษตรกรรมเป็นจำนวนมาก
------------------------------------------------------------------------------------------------
ข่าว จากคำแถลงของนายกหลังจบทัวร์นกขมิ้น นี่คือเหตุผล ของการทัวร์นกขมิ้น เพื่อไป
รับฟังหาข้อมูล - ติดตามการทำงาน - สื่อสารกับพื้นที่เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ในการรับรู้และ
แนวทางป้องกันแก้ปัญหาน้ำท่่วม
ขอเป็นกำลังใจ และเอาใจช่วยท่านนายก และคณะทำงานทุกท่านในการที่จะทำงานให้กับ
ประเทศชาติ และประชาชน โดยไม่หวาดหวั่นพรั่นพึง ต่อคำนินทา ใส่ร้ายของทุรชนที่ไม่ต้อง
การให้ประเทศเจริญก้าวหน้า ท่านทำได้ดีแล้วและเชื่อว่าท่านจะพบความสำเร็จเอาชนะใจของ
คนที่ถูกเป่าหูให้หลงผิด กลับใจมาร่วมมือกับท่านพัฒนาประเทศ...ด้วยหัวใจของหญิงผู้องอาจ
ทรนงท่านจะกำหัวใจประชาชนไว้มิรุ้คลาย...เหมือนพี่ชายของท่าน....