ในครั้งนั้นนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา เปิดเกมตรวจสอบด้วยการเตรียมยื่นคัดค้านการประกาศรับรอง ส.ว.สรรหาชุดใหม่ โดยระบุว่านายสัก ซึ่งเป็นอดีตส.ว.เลือกตั้ง 2543 เข้าข่ายขัดมาตรา 115 (9) เพราะพ้นจากตำแหน่งไม่ถึง 5 ปี

เหมือนกับกระตุกหนวดเสือ เพราะนายสักนั้นมีดีกรีเป็นนักฎหมาย แล้วจะมาพลาดง่ายกับกฎหมายพื้นฐานอย่างกฎหมายรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ทำให้นายสักถึงกับสวนกลับว่าสงสัยว่าข้อมูลเอามาจากไหน เพราะดูข้อเท็จจริงแล้วเป็นคนละเรื่องกัน

ถึงขนาดให้ไปอ่านรัฐธรรมนูญปี 40 มาตรา 130 ที่ระบุอายุของวุฒิสภาให้ดีก่อน แต่หากจะยื่นคัดค้านจริงๆก็ตามใจ ไม่ได้วิตกอะไร เพราะก่อนที่ทางสภาทนายความจะเสนอชื่อตนได้ศึกษาคุณสมบัติต้องห้ามหมดแล้ว รวมทั้งดูรัฐธรรมนูญแล้ว

แถมยังบอกว่าทาง กกต.ก็พิจารณาแล้วว่าไม่ขาดคุณสมบัติ

แต่ก็หยุดนายเรืองไกรไม่ได้ เพราะนายเรืองไกรก็สวนกลับด้วยบทความขนาดสั้นเรื่องนักกฎหมายมือทองกับนักบัญชีจอมสอย โดยยอกว่า ถ้าจะอ่านรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 130 แล้ว ก็ควรอ่านมาตรา 315 ที่เป็นบทเฉพาะกาลด้วย

เพราะนายเรืองไกรมั่นใจว่าการเริ่มนับสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาที่เลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2543 ควรเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2543 เป็นต้นไป และถ้าใช่คุณสมบัติของนายสักก็มีปัญหาไม่ครบวันอย่างแน่นอน

กระแสตอนนั้นใครๆก็ว่านายเรืองไกรจะมารู้กฎหมายดีกว่านายสักได้อย่างไร?

แต่นายเรืองไกร ก็ไม่ได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือเสียงกดดันจากนักกฎหมายเพื่อนฝูงของนายสัก
แต่อย่างใด เดินหน้าร้องคัดค้านคุณสมบัติของนายสักต่อไปตามเดิม ซึ่งกลายเป็นว่าการเดินหน้าของนายเรืองไกร กลับกลายเป็นแรงกดดันของทั้ง กกต.ที่ต้องพิจารณาเรื่องนี้ และรวมไปถึงตัวนายสักเอง ว่าจะเสียท่านักบัญชีจอมสอยหรือไม่?

ก็ในเมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ ที่ 20/2543 วันที่ 26 เมษายน 2543 ที่ได้วินิจฉัยเรื่องนี้ ตามความในรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 315 วรรคห้า ไว้แล้วว่าสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาควรเริ่มในวันที่ 21 มีนาคม 2543 การครบวาระหกปีจึงควรเป็นวันที่ 20 มีนาคม 2540

แน่นอนเรื่องนี้ กกต.เจอภาวะรับเผือกร้อนไปเต็มมือ เพราะในแง่ผู้ปฏิบัติ กกต.ประกาศรับรองคุณสมบัตินายสักไปแล้ว ในขณะที่นายเรืองไกรก็ร้องคัดค้านตามสิทธิที่สามารถทำได้ แต่หากเป็นไปตามแนวที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ ผลกระทบที่ตามมาจะหนักหนาสาหัสกว่าที่คิด