แม้แต่ผู้ร่าง รธน.๕๐ เองก็ยังยอมรับว่า ให้รับไปก่อนแล้วแก้ทีหลัง อันแสดงให้ห็นอย่างชัดเจน กับความจำเป็นและความบกพร่อง การมัดมือชกไม่ว่าจะได้มติชนเสียงข้างมาก แต่ความเป็นจริงก็คือ เป็น รธน. ที่มิได้มาด้วยความชอบธรรม ตามลักษณะประชาธิปไตย นั่นเอง ฉนั้นการคัดค้านการปรับเปลี่ยนแก้ใข รธน.๕๐ ไม่ว่าจะมีเหตุผลอย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ ได้แสดงถึงความไม่ยินยอมรับ ลักษณะสังคมที่เป็น ประชาธิปไตย เท่านั้น ทั้งยังขัดขวางสังคมส่วนใหญ่ ที่ต้องการ ประชาธิปไตย ไปพร้อมกันอีกด้วย และถ้าฝ่ายต่อต้าน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง ผู้แทน ในรัฐสภา หรือพรรคการเมือง น่าจะตั้งคำถามได้ว่า ในเมื่อท่านมีความเข้าใจกับ ประชาธิปไตย อย่างไม่ถูกต้องเช่นนี้ สมควรอย่างไร หรือด้วยเหตุผลใด ที่ท่านก้าวเข้ามารับหน้าที่ ในระบบประชาธิปไตย ครับ
การเชื่อมโยงนำเอากรณี ความจงรักภักดีต่อสถาบัน อันเป็นมติเสียงข้างมาก มาใช้ต่อต้านการเปลี่ยนแก้ใข รธน.๕๐ อันเป็นมติเสียงข้างน้อย ให้ดูเสมือนมติเสียงข้างมาก อันสิ่งเหล่านี้ส่อถึง การพลิกแพลงลักษณะความเป็น ประชาธิปไตย กับสังคม โดยเหตุผลที่มาก็คือ ท่านขาดความรู้ความเข้าใจกับระบอบวิธีการ ด้านวิชาการเกี่ยวกับสังคมประชาธิปไตย หรือท่านต้องการให้สังคมเคยชินแต่กับ ระบบการเผด็จการซ่อนรูป ในคราบของประชาธิปไตย ตามตัวอย่างที่เคยปรากฏมาในอดีต โดยการตีความการแต่งตั้ง รบ. โดยมติเสียงข้างมากในสภา ทั้งๆ ที่ได้รับมติเป็นเสียงข้างน้อยจากมติคะแนนเสียงเลือกตั้ง นั่นเอง ครับ
เป็นความจริงที่เป็นไปได้ จากบทบัญญัติ ของ รธน.๕๐ ที่ รบ. สามารถใช้มติเสียงข้างมาก ในรัฐสภา ที่จะแก้ใข รธน.ทุกมาตราได้ แต่เพราะความสัมพันธ์ต่อกัน ของมาตราใน รธน.๕๐ รวมทั้งที่มาของโครงร่าง ไม่เพียงที่จะไม่สามารถ ให้กรายเป็น รธน. ที่เป็นประชาธิปไตย และมาจากมติชนโดยยินยอม ไม่ใช่ด้วยต้องสมยอมได้ รวมทั้ง เป็นโอกาสในการข่มขืนมติชนซ้ำเติม โดยอาศัย มติเสียงข้างมากในรัฐสภา ที่จะแก้ใขหรือปรับแต่งโดยเลี่ยงการได้รับความเห็นชอบหรือ มีส่วนร่วมอีกด้วย อย่างในอดีตที่ผ่านมา ในกรณีที่มีการปรับแก้ รธน. เฉพาะกรณี พิธีการแบ่งเขตุเลือกตั้ง เพื่อประโยชน์และผลพลอยได้ เฉพาะแต่พรรคการเมืองเท่านั้น เป็นต้นครับ
ในการที่ รธน.๕๐ อนญาติให้ ปชช. จำนวน ๕๐.๐๐๐ คน สามารถลงรายชื่อ เสนอต่อรัฐสภา ให้พิจารณาแก้ใข มาตราต่างๆ ใน รธน. เป็นสิ่งที่นำเอามาเป็นข้อคัดค้าน การเปลื่ยนแก้ รธน. เป็นสิ่งชอบธรรม อันหนึ่งของ สังคมประชาธิปไตย แต่การมีข้อเสนอ ก็มิได้หมายถึง การลงมติเห็นชอบ อันเป็นเสรีภาพลักษณะเดียวกัน กับการชุมนุมเรียกร้อง ตามสิทธิของ รธน. นั่นเอง เพียงแต่การรับเข้าพิจารณา ในรัฐสภาได้กำหนดจำนวนเสียงเรียกร้องเอาไว้เท่านั้น ในอดีตก็เคยมีตัวอย่างมาแล้ว ที่เสียงเรียกร้องกับ รบ. ในยุคนั้น มีเป็นจำนวนแสน เพื่อขอให้ยุบสภา และมีการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย แต่ผลออกมาเป็น ๙๑ ศพ บาทเจ็บกว่า ๒๐๐๐ อันหมายถึงว่า ความเป็นจริงเป็นการอนุญาตให้มีข้อเสนอแต่มิได้หมายถึงให้มีการเปลื่ยนแปลง ถ้าฝ่าย รบ. ที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาไม่เห็นด้วย ครับ
การลงมติแก้ใข รธน. ที่ทำให้เกิดการ คัดเลือก สสร. เป็นเพียงก้าวแรก ที่จะทำให้บังเกิด รธน. ที่มาจากมติชนเสียงข้างมาก ขึ้นได้ การลงมติเห็นชอบก็มาจากเหตุผล ถึงที่มาและโครงร่างของ รธน.๕๐ ที่ไม่เเป็นลักษณะประชาธิปไตย สมบูรณ์แบบและเหมาะสมกับสภาวะสังคมในปัจจุบัน รวมทั้ง ที่มา เป็นมติชนจำยอมแต่มิได้ด้วยความเต็มใจ ฉนั้น การจัดตั้ง สสร. มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องให้บังเกิดด้วย การเป็นอิสระจงใจของสังคม โดยให้ สสร. เป็นผู้แทน ในขณะเดียวกัน การร่าง รธน. เป็นกรณีกฎบัญญัติ ที่จำเป็นต้องอยู่ในรากฐานวิชาการ ทั้งด้านกฎหมาย และด้านการบริหาร ที่พร้อมสนับสนุนให้เจตนารมณ์ของ สังคม ปรากฎใน รธน. นั่นเอง
ในข้อแรก สสร. สมควรที่จะมาจากการเลือกตั้ง โดยยึดจำนวนผู้แทน เทียบกับจำนวน ประชากรในสังคม แต่ถ้าจะจัดเทียบตาม จว. ก็จะทำให้ สสร. ขาดสภาพการเป็นผู้แทนของ ปชช. โดยปริยาย เช่นเดียวกัน การกำจัดสมาชิกภาพในด้านวิชาการ อย่างเช่น ปริญญาตรี ที่ไม่ใช่สภาพความเป็นจริงเสมอภาค เป็นการให้ผู้แทน (สสร.) มิได้มาจากความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การมีส่วนร่วมเป็น สสร. ที่มาจาก พรรคการเมือง ก็จะเป็นการสร้างการขาดดุลย์ ในการเป็นผู้แทน ในเมื่อ สสร. เหล่านี้ ก็คือ สส. หรือ สว. ที่ได้ผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว รวมทั้งมีหน้าที่ๆ เป็นผู้บังคับใช้ รธน. การเป็นผู้บังคับใช้กับสิ่งที่ตัวเองมีส่วนร่วมในการก่อสร้าง ก็ไม่ผิดอะไร กับ รธน.๕๐ นั่นเอง ส่วนการมี สสร. ที่มาจากฝ่ายวิชาการ เป็นเสมือนผู้ให้คำปรึกษาด้านวิชาการ แต่มิได้เป็นลักษณะของผู้แทน ที่จะประกอบร่างเจตนารมณ์ ของ ปชช. และก็มิได้มาจาก การได้รับเลือกตั้ง ถ้าจะให้ สสร.วิชาการ มีสิทธิอำนาจในการร่วมร่าง แทนที่จะเป็นที่ปรึกษาและประกอบข้อความ ก็จะทำให้เจตนารมณ์ ของมติชนอยู่แต่กับระดับนักวิชาการ และเป็นผลให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดเช่นเดียวกับ การให้สิทธิเสนอแก้ รธน.๕๐ ครับ
นับตั้งแต่ เกิดมีรัฐประหาร ๔๙ เป็นที่ทราบในสังคมว่า มติชนมีความต้องการ ประชาธิปไตย ที่มีที่มาจาก ความจงใจของมติชนข้างมาก ในเมื่อ รธน.๕๐ มีที่มาเป็นอย่างอื่น ทำให้มีความต้องการ กับการเปลี่ยนแปลงแก้ใขขึ้นมา จากจุดยืนที่ปรากฎ คือ การมีการปกครองในระบบ ประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉนั้นจากจุดนี้เท่านั้น ที่สามารถถือเป็นแนวพื้นฐานของการ ปรับเปลี่ยนแก้ใข ที่มติชนต้องการและยอมรับ การที่นักการเมือง นักวิชาการ ฯลฯ ที่ต่างพยายามให้มีการกำหนดแนว รวมทั้งข้ออนุญาต หรือข้อต้องห้าม ต่างๆ ในการนี้ ก็จะเป็นเสมือนหนึ่ง กับการบังคับเจตนารณ์ในทางอ้อม และผลสุดท้ายกลับมาอยู่ในลักษณะเดิม คือมติชนที่มาในรูป จำเป็นต้องยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่น่าจะมีความจำเป็นที่ต้องแก้ใข ครับ
ความต้องการ ให้มีความเป็นอยู่ของสังคม ที่เป็นประชาธิปไตย ก็น่าจะเริ่มต้นด้วยตัวเอง ถึงการยินยอมรับฟังความเห็นแตกต่าง ในสังคม และพร้อมที่จะยอมรับในมติเสียงข้างมาก เป็นสำคัญ ถ้าจะดูอย่าง สภาวะกำกลึงของการเมือง จะเห็นว่า เป็นการ อำนาจ มาเป็นมติเสียงข้างมาก อย่างเช่น ปชช.ข้างมาก มีอำนาจการเงินน้อย จึงต้องตกอยู่ในมติของคนส่วนน้อยที่มีอำนาจทางการเงินมาก ฉนั้นข้อส่งเสริมกับการร่าง รธน.ใหม่ สมควรที่จะมีประชาอภิปราย และการลงมติแต่เฉพาะ รธน. ที่ไม่ให้ อำนาจต่างๆ มาเป็นผลให้เกิดประชามติ ลักษณะ จำเป็นต้อง แต่จาก ความยินยอมพร้อมใจโดยอิสระ บังเกิดขึ้น ครับ
แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 55 21:42:52