+++ราคาประมูลในคดีที่ดินรัชดา เทียบ ราคาประมูลในคดีปรส เกรงว่าคุณ ASIRAM จะเป็นฝ่ายมั่วนะครับ +++

ผมเกรงว่าที่คุณASIRAM อ้างไว้ในกระทู้ของคุณเมื่อคืนที่ P11794462 นั้น จะเป็นคุณที่มั่วเพราะความเข้าใจผิดนะครับ เพราะลิงค์ที่คณนำมาอ้างเขาคัดย่อตัดเนื้อความ จนคุณไม่ทราบสาระที่แท้จริง ผมขอให้คุณคลิกอ่านจากคำพิพากษาตัวจริงครับ โดยผมคัดย่อโดยมิได้เปลี่ยนสาระราคาของที่ดินทั้งสองแปลง มาให้สมาชิกได้อ่านง่ายขึ้นดังนี้ครับ  ( คลิก )

คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๐

(ในย่อหน้าแรก อ้างอิงเลขที่โฉนด 4 โฉนดในปที่ดินแปลที่สองที่มีการจะซื้อจะขาย)....จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้เสีย ในสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดิน โฉนดเลขที่ ๒๒๙๘, ๒๒๙๙, ๒๓๐๐ และ ๒๓๐๑ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง.......

(ในย่อหน้าที่สอง บรรยายรายละเอียดเกี่ยวที่มาและราคาของที่ดินทั้ง 4โฉนด ซึ่งเป็นแปลที่สองของกองทุน) จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ทางไต่สวน พยานหลักฐานจากการพิจารณา..........
.....ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๓๘ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินได้ซื้อที่ดินของบริษัทเงิน ทุน เอราวัณทรัสต์จำกัด จำนวน 2 แปลง แปลงที่หนึ่ง อยู่ติดศูนย์วัฒนธรรม รวมสิบแปดโฉนด เนื้อที่แปดสิบห้าไร่ สามงาน หกสิบห้าตารางวา ในราคาสองพันเจ็ดร้อยสี่สิบเก้าล้านสี่หมื่นบาท (2,7419,040,000 บาท ) และแปลงที่สอง อยู่ติดถนนเทียมร่วมมิตร รวมสิบสามโฉนด เนื้อที่สามสิบห้าไร่ สองงาน หกสิบเก้าตารางวา ในราคาสองพันหนึ่งร้อยสี่สิบล้านสามแสนห้าหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาท ( 2,140,357,500 บาท ).....

( เห็นหรือไม่ครับ เงินที่กองทุนต้องจ่ายเพื่อซื้อที่ดินแปลที่สองนี้คือเงิน 2,140,357,500 บาท ไม่ใช่เจ็ดร้อยล้านบาท )

......ต่อมาประมาณกลางปี ๒๕๔๔ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินได้ปรับปรุงเกณฑ์บันทึกการ บัญชีทรัพย์สินรอการขายใหม่ทั้งหมด เพื่อรับรู้ผลการขาดทุน โดยใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินในขณะนั้นเป็นราคาที่สะท้อนมูลค่าที่เป็นจริง เป็นผลให้ราคาที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวลดลง โดยที่ดินแปลงที่หนึ่งมีราคาหนึ่งพันสามร้อยสิบล้านหนึ่งแสนบาท(1,310,100,000 บาท) และแปลงที่สองมีราคาเจ็ดร้อยห้าสิบสี่ล้านห้าแสนบาท( 754,500,000 บาท)

( นั้นคือกองทุนขาดทุนไปทันที แต่เงินนะจ่ายออกไปแล้วสองพันล้านบาท  กรณีนี้จะไปคล้ายปรส ที่ทรัพย์สินที่ได้มาเป็นหนี้เสีย มูลค่าลดลงเอง เพราะถูกปั่นขึ้นไปก่อน ทำให้พอตอนขาย ขายไมไ่ด้ราคา)

......ต่อมากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจึงยกเลิกการประมูลครั้งแรก แล้วดำเนินการรังวัดที่ดินแปลงที่สอง ทั้งสิบสามโฉนด โดยแบ่งหักส่วนที่เป็นสาธารณประโยชน์ออก กับรวมและแบ่งแยกโฉนดใหม่เป็นสี่โฉนด คือ โฉนดเลขที่ ๒๒๙๘, ๒๒๙๙, ๒๓๐๐ และ ๒๓๐๑ เหลือเนื้อที่รวมสามสิบสามไร่ เจ็ดสิบแปดตารางวา เก้าตารางเมตร และประกาศขายที่ดินใหม่อีกครั้ง โดยวิธีประกวดราคา.....
(แบ่งแยกโฉนดและรวมโฉนดใหม่ จากโฉนดเล็ก 13 เหลือโฉนดใหญ่ 4 โฉนด แต่ครอบคลุมพื้นที่เกือบเท่าเดิมจาก 37 เหลือ 33 ไร่ ซึ่งตรงนี้ ไม่นาจะทำให้มูลค่าที่แตกต่างไปจากเดิมนัก)

คุณหญิงโดย นายสมบูรณ์ คุปติมนัส ผู้รับมอบอำนาจ เสนอราคาเจ็ดร้อยเจ็ดสิบสองล้านบาท ( 772,000,000 บาท) ซึ่งเป็นราคาสูงสุด คณะกรรมการจัดการกองทุนได้ประชุม และอนุมัติให้คุณหญิง เป็นผู้ชนะการประกวดราคา



สรุป นั้นคือราคาที่ดินแปลงที่กองทุนฟื้นฟูซื้อมาจากเอราวัณทรัสต์ในช่วงที่ที่ดินถูกปั่นราคาขึ้นในปี 2538 (ราคาที่ดินจะถูกปั่นสูงขึ้นไปกว่าราคานี้อีกในปี 2539 ก่อนฟองสบู่แตก) คือราคา 2,140,357,500 บาท ราคาที่คุณ ASIRAM อ้างว่าคือ 754,500,000 บาท นั้นไม่ใช่ราคาที่กองทุนต้องจ่ายเงินซื้อ แต่เป็นราคาที่ถูกปรับลดลงตามราคาที่ดินที่ตกลงหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเป็นราคาที่ดินปี 2544 แต่กองทุนได้จ่ายเงินซื้อที่ดินแปลงนี้ไปจริงๆคือ ราคา 2,140,357,500 บาทครับผม

ดังนั้น ที่คุณไปฉี่ ทำการคำนวณให้ดูนั้นน่าจะเป็นแนวที่ถูกต้อง เพราะต้นทุนที่แท้จริงที่กองทุนต้องจ่ายเงินซื้อออกไปก็คือ 2,140,357,500 บาท

แต่กองทุนนำออกไปประมูลได้ราคาจากคุณหญิงได้เพียง 754 ล้านบาท  เพียงแต่อาจจะต้องปรับตัวเลขเป็นร้อยละ 35  ซึ่งจะเห็นว่า ที่ปรส ขายทรัพย์สินของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการ มูลค่า 851,000 ล้านบาท ไปประมูลขายเพียง 190,000 ล้านบาทนั้น ก็มีลักษณะเหมือนกันคือขายได้น้อยกว่าต้นทุนที่รับมามาก เพราะมูลค่าทรัพย์สินของสถาบันการเงิน 851,000 ล้านบาท เป็นมูลค่าที่ถูกปั่นขึ้น ในความแท้จริงที่ไม่มีการปั่น  มูลค่านั้นอาจมีเพียงแค่ 4-6 แสนล้านเท่านั้น และผู้ที่จะซื้อต่อย่อมต้องกดราคา เพื่อขายต่อให้ได้กำไร ดังนั้น การเสนอซื้อ ย่อมต้องต่ำกว่า 4-6 แสนล้าน ซึ่งอาจจะมาตกที่ 2-3 แสนล้าน เพื่อขายต่อตามราคาตลาด ให้ได้กำไร การที่ปรส ขายได้ 190,000 ล้านบาทนั้น น่าจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมตอนนั้น มันเป็นเช่นนั้น

ในเวลานั้นเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงวิกฤติ มีการลดค่าเงินบาทและขอความช่วยเหลือจากไอเอมเอฟ คนไทยเองแทบไม่มีกำลังจะมาซื้อทรัพย์สินหรือหนี้สินเหล่านี้เอง ต่างชาติเองก็มองว่าหากมาลงทุนซื้อหนี้สินทรัพย์สินเหล่านี้ จะขายได้กำไรได้อย่างไร เพราะระบบเศรษฐกิจไทยยังวิกฤติ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้เสนอราคาสูง ต่างจากช่วงที่คุณหญิงประมูลซื้อนั้น เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว แต่กองทุนก็ยังได้ราคาประมูลจากคนประมูลไม่สูงเลย

ดังนั้น เป็นข้อคิดว่า ที่ปรส ขายทรัพย์สินออกไปได้เพียงเพียง 190,000 ล้านบาทนั้น ปรส อาจจะทำไปตามหน้าที่โดยสุจริต แต่การขายได้ราคาต่ำ เกิดจาก แรงกดดันตามสภาพความเป็นจริงในเวลานั้น ที่ไม่มีทางที่หนี้หรือทรัพย์เหล่านี้จะขายได้ราคา เพราะมาจากสถาบันที่ถูกปิด ซึ่งย่อมถูกมองว่าเป็นของเน่าที่ไม่สามารถให้ราคาได้ ยิ่งผู้ที่จะซื้อจะต้องมาขายต่อในระบบเศรฐกิจไทยที่กำลังมีปัญหาเท่านั้นเอง


อนึ่ง คำถามที่คุณก่อไผ่แซนซนถาม น่าจะหาคำตอบได้จากกระทู้สองกระทู้นี้ครับ ขอไม่โพสต์ซ้ำ

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P11790406/P11790406.html

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P11792896/P11792896.html

และอ้างอิงคำพิพากษาอีกทีที่
http://th.wikisource.org/wiki/คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง_ในคดีหมายเลขแดงที่_อม._๑/๒๕๕๐






เข้ามาเสรมคำอธิบายเรื่องการแบ่งแยกโฉนด เื่พื่อให้เข้าใจง่าย

แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 15:32:12

จากคุณ	: thyrocyte
เขียนเมื่อ	: 6 มี.ค. 55 14:42:09 A:58.137.0.146 X: