กล่าวให้ชัดเจนขึ้นคิอ การทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ เกิดขึ้นหลังจากที่สื่อมวลชนฝ่ายขวา พวกสลิ่มสารพัดสี พลพรรคแมลงสาบ สื่อกระแสหลัก และแม้กระทั่งบางปีกในพรรคเพื่อไทย ได้พยายามสร้างกระแสใส่ร้ายป้ายสีว่า คณะนิติราษฎร์เป็นพวกล้มเจ้า คนที่เสนอให้แก้ไขมาตรา ๑๑๒ เป็นพวกไม่จงรักภักดี และมีการข่มขู่คุกคาม ปลุกระดมให้ทำร้ายมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยไม่เคยเสนอให้ชัดเจนเลยว่า คณะนิติราษฎร์เสนออะไร และที่ไม่เห็นด้วยนั้น มีเหตุผลอย่างไร มีแต่การปลุกเร้าความรู้สึกให้ชิงชัยต่อต้านพวกล้มสถาบัน เป็นในลักษณะที่เกษียร เตชะพีระใช้คำว่า หว่านเพาะเชื้ออวิชชา มุสาวาทาและความเกลียดชังเพิ่มพูนขึ้นแก่สังคมไทย ซึ่งถ้าพิจารณาในลักษณะนี้ คนร้ายทั้งสองคนนี้ คือเหยื่อของการปลุกระดมในลักษณะนี้ด้วยซ้ำ มีความเป็นไปได้ว่า ทั้งสองคนนี้ ไม่เคยอ่าน และไม่รู้อย่างจริงจังในข้อเสนอและเหตุผลของฝ่ายนิติราษฎร์ มีแต่ความเกลียดชังว่า อาจารย์วรเจตน์จะมาล้มสิ่งที่เขารักและหวงแหน เขาจึงต้องตอบโต้ และกระทำด้วยความพากพูมใจ
กระแสทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งเดียวกับเหตุผลที่ยอมรับในความชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ใช้กำลังทหารเข่นฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ โดยอ้างกันว่า เพราะคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง หรือแกล้งเชื่อในข้อมูลแบบสุเทพ เทือกสุบรรณที่ว่า ทหารไม่ได้สังหารประชาชน แต่เป็นคนชุดดำเป็นผู้เข่นฆ่าจึงทำให้เกิดการเสียชีวิตถึง ๙๓ ศพ คำอธิบายในลักษณะได้ข้ามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจำนวนมากโดยไม่ต้องตั้งคำถาม เช่น การที่เกิดเพลิงไหม้อาคารทั้งหลาย เกิดขึ้นก่อนหรือหลังการเข่นฆ่าคนเสื้อแดง หรือถ้ามีคนชุดดำมาฆ่าคนกลางเมือง เหตุใดทหารจึงเสียชีวิตน้อยมาก และกระสุนของกองทัพที่ใช้ไปนับแสนนัด ไปใช้ทำอะไ/ร
เหตุผลอันกลับหัวกลับหางเหล่านี้ ทำให้เหยื่อต้องกลายเป็นผู้กระทำผิด ขณะที่ฆาตกรลอยนวล และที่สำคัญเป็นการชี้ว่า สังคมไทยย้อนกลับไปสู่ยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน การใช้กำลังเข่นฆ่าสังหาร หรือทำร้ายคนที่คิดต่างจึงกลายเป็นความชอบธรรมของสังคม นี่เป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่ยิ่งนัก