ถ้าจะมองอย่างเผินๆ ก็อาจรู้สึกขอบคุณ กับคนที่ตั้งคำถาม เพราะถ้าจะสร้างความปรองดองขึ้นมาได้ก็สมควรอย่างยิ่ง ที่จะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และการมีลักษณะกรอบกฏิกาอันเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคำถามที่ต้องการหาความจริง ทำใมถึงต้องรอมาจนถึงวันนี้ และโดยจากสถานะการณ์ และวิวัฒนาการณ์ที่ก้าวมามากพอ อย่างน้อยถ้าสามารถล้างก้นได้ด้วยตนเอง ก็พอที่จะคาดการณ์ได้อยู่แล้ว ปัญหาของความจริงในข้อนี้ ไม่ใช่จุดของการขาดความปรองดองที่แท้จริง ฉนั้นการนำมาตั้งเป็นคำถาม จะอ้างว่าเพื่อให้เกิดความปรองดองไม่ได้ ครับ ความจริงที่ ความปรองดองต้องการ คือ ด้วยเหตุใดหรือเพื่อผลประโยชน์ใด เป็นเหตุให้ต้องเกิดการยึดอำนาจ และฉีกรัฐธรรมนูญ ต่างหาก ครับ
สิ่งที่บังเกิดขึ้น เราจะมองไม่ได้ว่า ผู้ให้เกิดมีการกระทำ ผู้กระทำๆ โดยไม่มีเหตุผล หรือความต้องการที่ใตร่ตรองมาล่วงหน้า เพื่อให้ได้มากับอำนาจ อันก็เป็นธรรมดา เมื่อไม่ได้ด้วยเลห์ ก็ด้วยกล ด้วยมนต์ และด้วยคาถา นั่นเอง ผู้สั่งมีเหตุผล ผู้กระทำมีความจำเป็น ผู้ถูกกระทำได้ผลเสีย และมองไม่เห็นถึงความถูกต้องของการกระทำ การสอบหาความจริงของผู้ให้เกิดมีการกระทำ ไม่น่าจะอยู่ให้เกิดมีการรับผิดชอบทางกฏหมายเป็นสำคัญ เพราะไม่ใช่ข้อประกันว่า จะไม่มีการให้บังเกิดซ้ำซอกในอนาคต แต่ถ้าสามารถเข้าใจถึงเหตุผล อย่างใจเขาใจเรา เพื่อมองถึงความจำเป็นในการตัดสินใจ ให้บังเกิดการกระทำขึ้นมา ต่างหากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายกระทำต่างมีคุณวุฒิและวัยวุฒิด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งที่บังเกิดจึงไม่น่าจะเป็นกรณี สนุกสนานรื่นเริง แต่เพราะจากความจำเป็น อันอย่างน้อยก็เพื่อการอยู่รอด หรือรักษาผลประโยชน์ และลดความหวั่นเกรงจากการถูกคุกคาม ก็เป็นได้ถูกใหมครับ
เพราะ ผู้ให้เกิดมีการกระทำ ผู้ต้องกระทำ และผู้ถูกกระทำ ต่างมองด้วยเหตุผลและข้อวินิจฉัย ในมุมมองของตนเอง ทำให้เกิดความถูกต้อง และสมควร หรือที่เรียกว่า ความเป็นธรรม สามฝ่ายด้วยกันขึ้นมา ในขณะเดียวกัน การสร้างความปรองดอง เป็นลักษณะแรกเปลี่ยนปรับความเข้าใจ เพียงแต่ความจริงของ ฝ่ายผู้จำเป็นต้องกระทำ กับ ฝ่ายผู้ถูกกระทำ อันมุ่งใช้กรณี นิรโทษกรรม และเยียวยาผู้ถูกกระทำ เพื่อให้เกิดลักษณะสมยอมเป็นหลัก ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดชอบทางกฏหมาย ผู้ถูกกระทำถูกมัดมือชก ก็ต้องจำใจรับค่าทดแทนที่ไม่คุ้มค่า พร้อมเปิดทางให้ผู้ กระทำๆ ในสิ่งที่ยังไม่สำเหร็จสิ้นได้ต่อไป ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต อย่างองอาจสมเกียรติ์กันต่อไป ความแตกแยก หรือความไม่เข้าใจก็จะเริ่มเข้าสู่มุมมืด จนกว่าจะถึงจุดสุกงอม จนเกิดการทำลายร้างต่อกัน ในวันข้างหน้า จากแนวทางนี้ผมมองไม่ออกว่า จะเกิดความปรองดองได้อย่างไร ครับ
และถ้าจะสังเกตุ เอาจากสถานะการณ์ และคำตอบที่ว่า ให้ตายไปแล้วก็ตอบไม่ได้ แสดงว่าในเมื่อท่าทีของสถานะการณ์ อาจก้าวไปสู่กรณีของผู้ให้คำตอบ เป็นการแสดงถึงว่า ผู้กระทำ เขาทั้งหลายกระทำด้วยความจำเป็น อันอยู่ในขอบข่ายของการปรองดอง ไม่มีผลให้ต้องรับผิดชอบตามกฏหมาย (กระทำในหน้าที่) ผู้ให้คำตอบ ไม่เพียงจะเป็นผู้นำในการกระทำ ยังเป็นผู้นำเพื่อให้ ผลพวงที่มาจาก ผู้ให้บังเกิดการกระทำพ้นรอดไปด้วย ฉนั้นก็ไม่แปลกที่มีการให้โอกาสในการให้คำตอบ จากผู้ที่ออกคำสั่ง ให้มีการสลายชุมนุมด้วยวิธีรุนแรง หลังจากการเกิดคำถามขึ้นมา ถ้าจะมองอย่างตรงๆ หรืออาจถูกเรียกได้ว่า มีอคติ ก็อาจมองว่า เป็นการสร้างฉากที่แนบเนียน ที่จะร่วมช่วย กลุ่มฝ่ายผู้กระทำทั้งหมด นั่นเองครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น การปรับแก้ รธน. การดำเนินคดีทุจจริต การดำเนินการคดีผู้เสียชีวิต ฯลฯ สิ่งใดที่เลี่ยงไม่ได้ ก็ทำให้ล่าช้าหรือหมดสิทธิ การเปลี่ยนแปลงหรือลงอาญา ส่วน การไล่ล่า การยัดเยียดความผิด การข่มขู่กดดัน ฯลฯ กับ กลุ่มฝ่ายผู้ถูกกระทำ ก็ยังจะมีการดำเนินการ อย่างหนักแน่น และเฉียบขาดเสมือนเดิม แม้แต่ในยุค ที่มีการเปลื่ยนแปลงผู้นำ (รบ.) แทนที่จะเป็นฝ่าย แก้ใข ตามที่ให้แถลงการณ์เอาไว้ นับวันกลับกรายตัว ไปเป็นฝ่าย ผู้ต้องกระทำเพิ่มจากเดิม ไปเสียแล้ว อันหมายถึง กลุ่มฝ่ายผู้ถูกกระทำ คือ ผู้ที่ยื่นมีดให้โจร ไปโดยปริยาย ความรันทดใจของ กลุ่มฝ่ายผู้ถูกกระทำจึงบังเกิดขึ้น อย่างไม่มีทางเลี่ยง และรอการถูกกระทำกัน ต่อไปเช่นเดิม นั่นเองแหละ ครับ
ส่วนกลุ่มฝ่าย ให้เกิดมีการกระทำ ที่อยู่ในฐานะผู้อยู่นอกเหตุการณ์ สามารถมอง คาดคำนวนและวินิจฉัย กับปฎิกริยาและสถานะการณ์ ของผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ ได้ชัดเจน ในเมื่อเหตุผล ของการให้กระทำ ยังไม่สำเหร็จลุล่วง ก็สามารถสร้างและบงการ ให้เกิดมีการกระทำในยุทธศาสตร์ ตามสถานะการณ์ ได้ต่อไป ในเมื่อการกระทำที่ผ่านมา ในฐานะฝ่ายรุก ไม่เป็นผลตามต้องการ ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่จะปรับใช้ ไปสู่ฐานะฝ่ายรับ ก็เป็นได้ครับ
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะเหลือบมอง รธน.๕๐ ก็พอจะคาดการได้ว่า ใคร? ในระดับใด? ที่สามารถประกาศใช้ พรก.กฏอัยการศึก ได้บ้าง สิ่งที่ยังขาดก็คือ เหตุผลเพียงพอสำหรับประกาศใช้เท่านั้น ทางที่น่าสนใจอันหนึ่ง ก็คือ การทำให้เกิดสภาวะสุกงอมในสังคม ของผู้ถูกกระทำขึ้นมาให้ได้ ฉนั้นก็อาจเป็นได้ ที่จะมีสถานะการณ์ของความ ไม่เป็นธรรม บังเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งนี้นี่เอง ทำให้เกิดความเคลื่อนใหวขึ้น และสามารถสอดกำลังให้เกิดความรุนแรง และก้าวสู่การประกาศ พรก.กฏอัยการศึก ที่ประกาศใช้ง่าย แต่ประกาศเลิกยาก ต่อไป อันอาจมองได้จาก การสร้างกระแส คำทำนายถึง นางสงกรานต์ ในปีนี้ เสมือนกับเพิ่งรู้ผ่านมาเมื่อไม่กี่วัน นี้เองเป็นต้นครับ
ถ้าฝ่ายถูกกระทำ ต้องการความปรองดอง ทิศทางเดียว เท่าที่ผมมองเห็น ก็คือ การมีความอดทนอดกลั้น และทำใจกับสิ่งที่อาจต้องเสียเพิ่มขึ้นอีก แต่ก็ยังดีกว่า ยื่นมีดให้โจรซ้ำสอง เป็นแน่ ครับ
แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 19:19:17