 |
เอาคร่าวๆ จำไม่ค่อยได้
เริ่มจาก
เริ่มจากความโกหก เรื่องล้มเจ้า, ขายหุ้นไม่เสียภาษี, แปรรูปรัฐวิสาหกิจขายสมบัติชาติ, ปฏิญญาฟินแลนด์ ยึดทรัพย์พ่อเพราะถือว่าเป็นหุ้นของพ่อไม่ใช่หุ้นของลูกแต่ปรับเงินลูกเพราะถือว่าเป็นหุ้นของลูกไม่ใช่หุ้นของพ่อ, ฯลฯ
ตามด้วย
ตามด้วยความไม่ปกติ คาร์บอมบ์, ระเบิดสถานที่ต่างๆ, ยึดทำเนียบ, ปิดสนามบิน, จะเอานายกฯ ม. 7, บอยคอตเลือกตั้ง, ยุบพรรคแล้วยุบพรรคอีก, รัฐประหาร, ออกกฏหมายย้อนหลังให้เป็นความผิด, ชนะเลือกตั้งแม้ผลเอ็กซิทโพลทุกสถาบันสำรวจว่าแพ้ กู้มาสารพัดโกง, ไม่ยุบบางพรรคแล้วไม่ยุบอีก, สังหาร 91 ชีวิต, ทหารยึดพื้นที่แล้วเซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผา, พวกจริยธรรมสูงมูมมามเข้ายึดครองผลประโยชน์ประเทศและสารพัดตำแหน่ง, ฝ่ายหนึ่งเลื่อนฟ้องคดีแล้วเลื่อนอีก รอลงอาญาแล้วรอลงอาญาอีก, ฝ่ายหนึ่งจับ ตัดสิน ลงโทษ ทันที, สารพัดสองมาตรฐาน, ทรัพย์สินที่ปิดไม่มิดกว่าร้อยล้านหรือพันล้านแม้ไม่ได้ประกอบกิจการใด จะทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำอุบายหาเรื่องประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการยั่วยุปลุกปั่นให้หลงร่วมเป็นพรรคพวก ความจริงเสี้ยวเดียว ล้างสมอง ดีแต่พูด แอบอ้างผลงาน แอร์พอร์ตลิงค์ อุโมงค์ยักษ์ ตัวเลขเศรษฐกิจ เปลี่ยนชื่อนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ยอมเกษียณ ตรวจเงินแผ่นดินค่าทอดกฐินทัวร์ คณะกรรมการสิทธิอมนุษยชน การใช้กระสุนจริงปราบปรามสังหารเก้าสิบกว่าชีวิตไม่ขัดสิทธิอมนุษยชน ตุลาการวิบัติหลายมาตรฐาน สารพัดหน่วยงานอิสระลวงโลก ฯลฯ
ย้อนคิดถึงอดีต
คิดถึงอดีตที่หลงเข้าใจว่าเป็นนิจจัง ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ คนไทยเกิดมาเป็นหนี้เพิ่มขึ้นทุกคนตลอดมาแต่อดีต สินค้าขาดแคลน มีการกักตุนสินค้า เป็นเรื่องปกติของชาติ รัฐวิสาหกิจทรุดโทรมหนี้สินพอกหางหมูเป็นสิ่งธรรมดา ทหารเหล่าทัพบริหารธุรกิจยึดกุมตำแหน่งสิงอยู่เต็มไปหมด ยาเสพติดแพร่ระบาด นโยบายหาเสียงเป็นสิ่งไม่สามารถเกิดขึ้นในความเป็นจริง แจกที่ดินให้ชาวบ้าน แต่คนในพรรคจำนวนมากได้รับหลายสิบไร่จนถึงเกือบร้อยไร่ คืนที่ดินคืนทรัพย์สินที่ถูกจับได้ แล้วไม่มีใครผิด ขายทรัพย์สิน ปรส. ด้วยเหตุผลและเงื่อนไขพิสดาร ค่าใต้โต๊ะ ข้าราชการกดขี่รังแกประชาชน ฯลฯ
ดูสิ่งที่เห็น
.เห็นสิ่งดีๆของประเทศเกิดขึ้น สามสิบบาทรักษาทุกโรค หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ กองทุนหมู่บ้าน ยาเสพติดสาบสูญ อิทธิพลมาเฟียหลบหาย หวยใต้ดินสูญพันธุ์ กลายเป็นรายได้บนดินเข้ารัฐมหาศาล ข้าราชการน่าประทับใจ One Stop Service ศักดิ์ศรีในเวทีโลก ธนาคารโลกยกระดับประเทศจากผลการพัฒนาจากช่วงทศวรรษเริ่มจากปี 2544 เงินทุนสำรองของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี อัตราการเติบโตของ ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้นซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เปอร์เซ็นต์หนี้สาธารณะลดลงทุกปี ฯลฯ
ก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเคยเกิดวิกฤติจนล้มพังพาบ ตามด้วยอาการของการที่จะค่อยๆตายซาก จนบางพรรคการเมืองอยู่เป็นรัฐบาลไม่ได้ พรรคไทยรักไทยได้เข้ามาฟื้นฟู จนธนาคารโลกยกฐานะประเทศไทย ขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัว อยู่ในระดับ ปานกลางระดับสูง เนื่องจากหากนับจากปัจจุบัน ปี 2554 ย้อนหลังไปใน ช่วงทศวรรษ ที่ผ่านมา คือในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2544 ที่รัฐบาลไทยรักไทยเริ่มบริหารประเทศ เศรษฐกิจของไทยเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและอัตราความยากจนลดลงเป็นอย่างมาก
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้นในทุกๆปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ จนเป็นอันดับที่ 13 ของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย และคงอันดับที่ 13 ของโลกมาโดยตลอดจนปัจจุบัน ดังนี้ 33,048 ล้านดอลลาร์ ในปี 2544 38,924 ล้านดอลลาร์ ในปี 2545 42,148 ล้านดอลลาร์ ในปี 2546 49,832 ล้านดอลลาร์ ในปี 2547 52,066 ล้านดอลลาร์ ในปี 2548 66,985 ล้านดอลลาร์ ในปี 2549 87,455 ล้านดอลลาร์ ในปี 2550 111,008 ล้านดอลลาร์ในปี 2551 (เป็นอันดับที่ 13 ของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย) 138,418 ล้านดอลลาร์ ในปี 2552 172,129 ล้านดอลลาร์ ในปี 2553 (คงอันดับที่ 13 ของโลกมาโดยตลอด)
GDP Growth Rate (อัตราการเติบโตของ ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้นซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของรายได้ประชาชาติ) เพิ่มขึ้นในทุกๆปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ จนสูงสุดในปี 2546 มีผลให้ค่า GDPของประเทศไทยเป็นอันดับโลกที่ 31 แต่เริ่มเปลี่ยนเป็นอัตราลดลง เมื่อเกิดการก่อกวนความสงบ จนกระทั่งแย่งชิงอำนาจการเมือง เปลี่ยนเป็นลดลงทุกๆปีอย่างต่อเนื่องหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีค่าติดลบในปี 2552 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศ โดยที่ในปีต่อมา 2553 มีการพยายามหลอกลวงโดยบางสื่อ ว่าอัตราการเติบโตของ GDP พุ่ง ให้เข้าใจสถานะเศรษฐกิจของประเทศผิดเพี้ยน ว่าเศรษฐกิจดี แต่ประชาชนส่วนใหญ่โดยทั่วไปสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตนเองว่าไม่ใช่ เพราะแท้จริงเป็นเพียงการเทียบจากค่าที่ทรุด ที่หดหาย ที่ติดลบ ที่เกิดจากการพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด โงหัวขึ้นจากการทรุดของส่วนต่างๆ และหนี้มหาศาลที่รัฐบาลก่อไว้พร้อมภาระหนักในดอกเบี้ยอยู่เบื้องหลัง อันเป็นวิธีการของกลุ่มคนที่ ดีแต่พูด ที่พูดดูเหมือนดี แท้จริงแฝงความหลอกลวง หรือไม่ ? ดังนี้ 2.2 % ในปี 2544 5.3 % ในปี 2545 7.1 % ในปี 2546 (สูงสุดในปี 2546 มีผลให้ค่า GDP ของประเทศไทยเป็นอันดับโลกที่ 31) 6.3 % ในปี 2547 4.6 % ในปี 2548 5.1 % ในปี 2549 (เปลี่ยนเป็นลดลงทุกๆปีอย่างต่อเนื่องหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549) 4.9 % ในปี 2550 2.5 % ในปี 2551 -2.3 % ในปี 2552 (มีค่าติดลบในปี 2552 เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าบริหารประเทศ) 7.8 % ในปี 2553 (แท้จริงเป็นค่าเทียบจาก ค่าที่ติดลบ และหนี้มหาศาลเบื้องหลัง)
เปอร์เซ็นต์หนี้สาธารณะ ลดลงในทุกๆปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ หลังจากลดลงจนต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ดังนี้ 57.5 % ในปี 2544 55.1 % ในปี 2545 50.7 % ในปี 2546 49.5 % ในปี 2547 47.3 % ในปี 2548 42.0 % ในปี 2549 38.3 % ในปี 2550 37.3 % ในปี 2551 (หลังจากลดลงจนต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์) 45.2 % ในปี 2552 44.1 % ในปี 2553
เงินคงคลัง ภาษีที่เก็บมาจากประชาชน ที่ไม่ได้เอาไปใช้ จะเก็บเป็นเงินคงคลัง สมัยรัฐบาลสมชาย ในเวลาที่ถูกรัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งรัฐบาลในค่ายทหารขึ้นมาแทน มีภาษีเก็บเป็นเงินคงคลัง 52,878 ล้านบาท สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เก็บภาษีจากประชาชนมาเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ เป็นเงินคงคลัง 301,044 ล้านบาท แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับกู้เงินมาใช้ ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลโดยไม่จำเป็น การกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นการไร้เดียงสาในการทำงานหรือบริหารประเทศอย่างโง่เขลา หรือกระทำเล่ห์เหลี่ยมฉ้อฉลจากดอกเบี้ยเงินกู้ หรือสูบเลือดประชาชนทั้งประเทศหรือเป็นอย่างอื่นใดกันแน่ ?
ทั้งหมดที่กล่าวนี้ จริงหรือไม่ ? ใช่หรือไม่ ?
แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 55 09:42:13
แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 55 09:40:40
แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 55 09:32:21
แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 55 23:18:53
แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 55 23:16:17
แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 55 23:06:35
แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 55 22:57:19
จากคุณ |
:
วษณ
|
เขียนเมื่อ |
:
4 เม.ย. 55 22:48:40
A:27.55.6.227 X:
|
|
|
|
 |