ขอนุญาตคัดบทความเก่าบางตอน ที่ชื่อว่า อากง ปลงไม่ตก ซึ่งเขียนโดยนายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ในข่าวสดออนไลน์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 ปลายปีที่แล้ว)
...แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า อากง ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด
สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น...
ก็คงสมใจอยากแล้วล่ะครับ เพราะอากงแกคงไม่ได้ลอยนวลอยู่ในโลกมนุษย์ โลกเดียวกับท่านอีกต่อไป..แกไปสบายแล้ว แต่อาจมีบางคนที่ต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่าใครควรรับผิดชอบ..
มีคนเขาตั้งคำถามมาครับ ตั้งคำถามอย่างไร โปรดอ่านจาก..จากนักปรัชญาชายขอบ
เมื่อทราบข่าว อากง เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่โรงพยาบาลในเรือนจำเมื่อเช้านี้ ทำให้ผมต้องย้อนกลับไปอ่านบทความ อากงปลงไม่ตก ของ โฆษกศาลยุติธรรม อีกครั้ง ในโลก fb วันนี้มีแต่ความโศกเศร้ากับการจากไปของอากง และหดหู่สิ้นหวังกับ ระบบยุติธรรมไทย
เพราะ อากง ในความรับรู้ของพวกเราคือชายชราท่าทางซื่อๆ ที่มีโรคประจำตัวน่าสงสาร คือไม่ว่าจะดูบุคลิกภาพ บริบทครอบครัว หรือดูอะไร อย่างไร เราก็ไม่สามารถจะมองเห็นอากงในภาพพจน์ของบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย ไปได้เลย!
ยิ่งย้อนไปอ่านที่โฆษกศาลยุติธรรมระบุว่า ...คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากล และหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม
ยิ่งทำให้นึกถึงคำถามเก่าๆ ที่ศาลไม่เคยตอบเลย คือคำถามที่ว่า ศาลได้พิสูจน์ให้เห็นประจักษ์พยานจนสิ้นสงสัยแล้วหรือว่า อากงเป็นผู้ส่งข้อความ 4 ข้อความ นั้นจริง?
และยิ่งเมื่อโฆษกศาลยุติธรรมอ้าง หลักการสากล ยิ่งทำให้เกิดคำถามตามมาอีกมาก เช่น
1. ตามหลักการสากล มีด้วยหรือที่การกระทำผิดด้วย ข้อความ ต้องลงโทษจำคุกถึง 20 ปี
2. ตามหลักการสากล มีด้วยหรือที่การทำผิดด้วย ข้อความ โดยชายชราคนหนึ่งที่มีโรคประจำตัว (มะเร็ง) ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับไม่ได้รับสิทธิประกันตัว แม้ภรรยาของเขาจะอดข้าวประท้วง หรือกระแสเสียงของประชาชนที่มีมโนธรรมสำนักรักความยุติธรรมจะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องมากมายเพียงใดก็ตาม
ตามหลักการสากล ความยุติธรรมตามกฎหมายต้องไม่คำนึงถึง มนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชนหรือครับ
หลักการสากลของประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลกครับ ที่เขาเป็นเหมือนประเทศไทยที่ปกครองด้วย ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลกที่ประชาชนต่างอยู่เย็นเป็นสุขภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
3. ตามหลักสากล การที่ศาลจะตัดสินคดีอาญาเอาคนเข้าคุก เขาไม่ต้องพิสูจน์ประจักษ์พยานจนสิ้นสงสัยหรือครับว่า จำเลยเป็นผู้ลงมือกระทำความผิดจริง
4. ตามหลักสากล ในประเทศอารยะประชาธิปไตย เขาต้องยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ตาม อุดมการณ์ประชาธิปไตย ในการพิพากษาคดีไม่ใช่หรือครับ (ซึ่งหมายถึงต้องคำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด) มีประเทศอารยประชาธิปไตยที่ไหนในโลกครับที่เขายึด อุดมการณ์กษัตริย์นิยม ในการพิพากษาคดี
5. ที่โฆษศาลยุติธรรมเขียนว่า สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน...
ถามว่า ตามหลักการสากล มีด้วยหรือครับ การตั้งข้อหาหมิ่นประมาทที่จำเลยไม่มีสิทธิพิสูจน์ว่าข้อความที่ตนพูดนั้นๆ เป็นความจริงและเกิดประโยชน์แก่สาธารณะหรือไม่ และ
6. ตามหลักการสากล มีด้วยหรือครับที่ โฆษกศาลยุติธรรม จะออกมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะในท่วงทำนองกดเหยียดทางจริยธรรมต่อจำเลยว่าเป็น บุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย อันเป็นการหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของจำเลย ทั้งที่คดียังไม่ถึงที่สุด
สังคมไทยก็พูดกันอยู่เสมอๆ นะครับว่า คนไทยส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ทรงเป็น พุทธมามกะ และทรง ทศพิธราชธรรม ประเทศเราเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน
ถ้าเป็นจริงอย่างที่โฆษกศาลยุติธรรมเขียนว่า ...โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิดรวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่าจึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง
อันนี้พุทธะยิ่งไม่ให้ใส่ใจเลย เพราะถ้าที่เขาพูดนั้น ไม่จริง ความเท็จนั้นก็ไม่อาจทำลายความดีงามที่ มีอยู่จริง ได้
ยิ่งชายชราชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งจะใช้ ข้อความเท็จ ทำลายความดีงามสูงส่งของ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ให้มัวหมอง หรือเสื่อมเสียไปแม้แต่น้อยนิดนั้น ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ในโลกของความเป็นจริง เลย ที่ว่าข้อความเท็จจะทำให้พระมหากษัตริย์ผู้ซึ่งในความเป็นจริงทรงเปี่ยมล้นด้วยทศพิธราชธรรมเสื่อมเสียนั้นจึงเป็นเพียง ความเชื่อ เท่านั้น
ฉะนั้น การลงโทษตาสีตาสาคนหนึ่งที่ทำผิดด้วย ข้อความ เพียง 4 ข้อความ (ด้วย ความเชื่อ ว่าจะทำให้พระมหากษัตริย์ พระราชินีผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยความดีงามอยู่แล้วเสื่อมเสีย) โดยการจำคุก 20 ปี และไม่ให้ประกันตัว จนกระทั่ง เขาตายในคุก นั้น ไม่ว่าจะคิดด้วยหลักพุทธศาสนา หลักประชาธิปไตย หรือคิดจาก หัวใจ ของ มนุษย์ เราก็ไม่มีทางจะเข้าใจได้ว่ามัน ยุติธรรม อย่างไร!
คำถามที่ค้างคาใจผู้คนในสังคมที่คนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา มีพระราชาทรงทศพิธราชธรรม ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ ใครคือผู้รับผิดชอบต่อความตายของอากง? ทั้งในทางมโนธรรมสำนึกของ มนุษย์ ทางศีลธรรม และรับผิดชอบโดยการร่วมกันผลักด้นให้เกิดการปฏิรูป ระบบยุติธรรมไทย ให้อยู่ภายใต้ อุดมการณ์ประชาธิปไตย อย่างแท้จริง!
http://www.prachatai.com/journal/2012/05/40410