ความคิดเห็นที่ 1 อย่าใช้ข้ออ้างแบบสลิ่ม ๆ เลยครับ... "คนเลือกไม่ถึงครึ่งประเทศ อ้างเป็นเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้" คืองี้นะ... ตามหลักประชาธิปไตยแล้วผู้ไม่มาใช้สิทธิ์ก็เท่ากับว่างดออกเสียง มีสิทธิ์แต่ไม่ใช้สิทธิ์ของตัวเอง โทษใครไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 55 21:18:44 จากคุณ : Di Monterossa เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 21:18:10 A:110.77.204.23 X:

ความคิดเห็นที่ 2 "ต้องมีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง" เหตผล คือ อะไร __________________ ตามตัวอย่าง  คน 2 ล้านเสียง  กา งดออกเสียง ไม่ได้หมายความว่า มีคนงดออกเสียง  เพียง 2 ล้านคน แต่  ความจริง มีถึง 22 ล้านคน ในกลุ่มพวกเขา   มีคนขยัน ยอมเสียเวลา เสียค่ารถ  มา กา งดออกเสียง ส่วนที่เหลือ  เขาคิดประหยัด ค่ารถ   และเอาเวลาไปทำมาหากิน  ก็เลยงดออกเสียงเช่นกัน จำนวนคน งดออกเสียง เกินครึ่ง แต่เอาเกณฑ์  "ต้องมีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง" เพื่ออะไร จากคุณ : Mudady เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 21:24:54 A:101.51.247.159 X:

ความคิดเห็นที่ 3 ปกติ  การออกมาใช้สิทธ์ ก็ต้องใช้คะแนนมากสุดซิครับ  แล้วจะรู้ได้ไงว่าคนงดออกเสียง เค้าเอนเอียงไปทางไหนมากกว่า   และคนที่บัตรเสีย  เขา  เลือกทางไหน  มันพิสูจน์ยากครับ  แล้วก็จะ   มีปัญหาตามหลังอีกมากมาย  เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ไง   ครับ จากคุณ : samlow เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 21:25:32 A:171.99.111.241 X:

ความคิดเห็นที่ 4 คนที่งดออกเสียง เขาย่อมมีพื้นฐาน  ที่เชื่อว่า  "ปล่อยให้คนที่สนใจ และรู้เรื่องจริงๆ เป็นผู้ตัดสิน." เขาไว้ใจคนส่วนใหญ่ของสังคมว่า จะ"เลือก"ได้ถูกต้องกว่าตัวเขา ที่อาจรู้น้อย ดังนั้น เมื่อคนที่"เลือก"  เลือกแล้ว ย่อมเป็นตัวแทน คนทั้งหมดในสังคมได้ จึงควร "ใช้เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง"   เป็นข้อสรุป จากคุณ : Mudady เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 21:29:53 A:101.51.247.159 X:

ความคิดเห็นที่ 7 ในสากลโลกเค้าใช้แบบไหนกันละครับ จากคุณ : ก.ว. เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 23:51:10 A:223.205.40.115 X:

ความคิดเห็นที่ 8 เคสนี้ ต้องใช้กฏ one man one vote ประเด็นไหน ได้จำนวนสูงสุดก็ถือว่าชนะไป ไม่มีนับจากจำนวน ผู้มีสิทธิ ทั้งประเทศ มายก ประเด็น จากคุณ : โบกกรัก เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 02:51:51 A:183.89.92.241 X:

ความคิดเห็นที่ 9 ประเด็นเรื่องนี้มันอยู่ที่ว่า ตอนนี้ประเทศไทย มีพรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ โดยวางหลักไว้สองอย่างคือ ถ้าหากเป็นการปรึกษาหารือ ขอฟังความเห็น ประมาณว่า รัฐบาลคิดจะสร้างอะไรที่สุดในโลกสักอย่าง ไม่มั่นใจว่า ประชาชนจะเห็นด้วยมั้ย ก็เลยลองทำปรึกษาประชาชนดู แบบนี้ ในกฎหมายก็บอกว่า เอาคะแนนแค่เสียงข้างมากพอ คือ เห็นด้วยมากกว่าไม่เห็นด้วย ก็ได้แล้ว แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่ต้องการหาข้อยุติ ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย อย่างควรแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ (อันนี้ถึงว่าทำไมรัฐบาลถึงไม่ยอมทำประชามติก่อน เพราะว่าถ้าหากยอมทำก่อน ก็ต้องทำตามพรบ.นี้) ถ้าทำประชามติก่อน น่าจะถือว่าเป็นประเด็นที่ต้องหาข้อยุติ ว่าควรแก้หรือไม่ ในกฎหมายกรณีนี้ กำหนดไว้ว่า ให้ดูสองอย่างคือ 1. คนออกมาใช้สิทธิถึงกึ่งหนึ่งมั้ย ถ้าหากไม่ถึงก็ถือว่า ไม่ผ่านเลย 2. ถ้าคนออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่ง ก็ไปดูคะแนนว่า คนที่เห็นด้วยมีถึงครึ่งนึงของผู้มาใช้สิทธิมั้ย ถ้าไม่ถึง ก็ถือว่าไม่ผ่านเช่นกัน อย่างที่ผมยกตัวอย่างในเนื้อหากระทู้ คือถ้าคนมีสิทธิออกเสียง 40 ล้านคน ขั้นแรกดูว่า คนมาใช้สิทธิถึง 20 ล้านมั้ย ถ้าถึง ก็ค่อยไปดูคะแนน ถ้าไม่ถึงก็จบ ถือว่าไม่ผ่านแล้ว ถ้าไปขั้นดูคะแนน ถ้าคนมาใช้สิทธิ 30 ล้านคน ยังไงก็ตามคะแนนเห็นด้วย ต้องถึง 15 ล้านด้วย ไม่ใช่แค่เสียงข้างมากแค่นั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วเรื่องที่นำไปทำประชามติ ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญ และเมื่อทำประชามติแล้ว ประชาชนควรรับผลที่ได้ออกมาด้วย ดังนั้น เป็นการดีอยู่แล้ว ที่ว่า ควรมีเกณฑ์อะไรก็ตาม ที่ใช้คะแนนสูงกว่าคำว่ากึ่งหนึ่ง เพื่อให้สิ้นความสงสัยไปเลยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นด้วยหรือไม่ ดังนั้นสาระสำคัญของกระทู้นี้ คือประเด็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเรื่องที่น่าจะเรียกว่า สำคัญมากเรื่องนึง จึงควรใช้เกณฑ์ขั้นต่ำ แบบใน พรบ.ประชามติหรือไม่ ถ้าหากบอกว่า ไม่น่าต้องทำขนาดนั้น ก็หมายความว่า กฎหมายประชามติ ที่ออกมา ใช้ประโยชน์ไม่ได้ แล้วจะออกมาทำไม ปล.ผมไม่แน่ใจว่า กฎหมายฉบับนี้ ออกในสมัยรัฐบาลไหน แต่คิดว่า ต้องเริ่มต้นในสภาผู้แทน ชุดที่แล้ว โดยผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คือ คุณอภิสิทธิ์ นายกฯ ประกาศในวันที่ 18 ธันวาคม 2552 ซึ่งก็หมายความว่า คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ประมาณ 1 ปี แล้ว ก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าสภาไม่ได้เริ่มพิจารณามาก่อนคุณอภิสิทธิ์เป็นนายก มันจะสามารถออกมาในวันที่ดังกล่าวหรือไม่ จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 06:40:21 A:110.171.132.154 X: