ปริศนา...ชาติกำเนิด..สนธิ ลิ้มทองกุล??!!
|
 |
ปริศนา...ชาติกำเนิด..สนธิ ลิ้มทองกุล??!! โดย คุณ เคนจิ / thaitiger เมื่อวันจันทร์ ที่ 28 พฤษภาคม 2012
นี่คือคำรับสารภาพ..วลีเด็ดของท่าน..ศาสดา โกเต๊ก ลิ้ม[xxx]กุล
"ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง" เริ่มต้นมันก็พูดอย่างนี้ ต้องเติมให้มันอีกหน่อยว่า คุกเป็นคุก
ปริศนา..ชาติกำเนิด..สนธิ ลิ้ม[xxx]กุล ..... ประเทศไทยในขณะนี้หากกล่าวถึงชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ใครที่ไม่รู้จักเป็นไม่มี
แน่นอน...เขานี่แหละที่ทำให้คนหลายล้านคนเคลิบเคลิ้ม ประดุจอยู่ในความฝัน สยบยอมรับสถานะภาพของ สนธิ ลิ้มทองกุล เสมือน " อัศวิน" ที่ขี่ม้าขาวมากลางอากาศ ช่วยชำระสะสางความโป้ปดมดเท็จ ความฉ้อฉลของนักการเมืองที่เลวทรามต่ำช้า...เขาก้าวเข้ามากำจัดคนทุจริต คอรัปชั่น และเป็นแกนนำในการ " กู้ชาติ "
....ใช่ คนส่วนใหญ่ที่ได้รับชมASTV ที่ถ่ายทอดตลอดมาเป็นเวลา 3 เดือน ไม่มีวันหยุด ก็คิดเช่นนั้น...และเข้าร่วมการชุมนุมบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา ตามคำสั่งของ สนธิ ลิ้มทองกุล
..... ไม่เพียงเท่านั้น สนธิ ยังมีกองกำลังพร้อมอาวุูธ อีกหลายร้อยคน พร้อมยอมตาย พลีชีพเพื่อสนธิ ลิ้มทองกุล หากมีการจับกุมคุมขัง ในกรณี "กบฏ"
สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ไทย ที่ไม่ยอมรับอำนาจกฏหมาย ปฏิเสธหมายจับ แถมประกาศท้าทายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุม
ยิ่ง ไปกว่านั้น... สนธิ ลิ้มทองกุล กล้าประกาศกร้าวต่อคนไทยทั้งในประเทศ และ ชาวต่างประเทศทั่วโลก ให้รับรู้ผ่านทางโทรทัศน์ดาวเทียมASTV ว่า .....
ที่ สำคัญ... คือ สนธิ ลิ้มทองกุล สามารถใช้วาทะ ที่ปลุกเร้าความรักชาติ ผ่านเสียงทุ้มหล่อ พร้อมท่วงทำนองที่โดนใจ ผู้เก็บกด จึงทำให้ปลุกระดมคนไทยทั้งในประเทศที่มี " ความรักชาติ " ออกมาชุมนุม ยึด สถานที่ราชการ ยึดทำเนียบ ปิดล้อมรัฐสภา เข่นฆ่าผู้ไม่เห็นด้วย ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ตัดไฟรัฐสภาขณะที่รัฐบาลประชุมสภาแถลงนโยบาย ปิดล้อมสนามบิน และหยุดงานทั่วประเทศ ....ซึ่งเขาเรียกว่า " นี่คือสงครามครั้งสุดท้าย....เพื่อ...กู้ชาติ "
ฉะนั้น... ความหมายของคำว่า " ชาติ" มีความหมายที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณของคนไทยทุกคน ที่มีความรักชาติรักแผ่นดินที่มีชื่อว่าประเทศไทย และนี่คือธรรมชาติของความเป็นคนไทย
แต่ความหมายของคำว่า " ชาติ " ของสนธิ ลิ้มทองกุล คืออะไร หมายถึง " ประเทศไทย " ใช่หรือไม่ ?
ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นคำตอบ....
ใน ปี พ.ศ.2492 ขณะนั้นประเทศจีนได้เกิดการแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งเป็นรัฐบาลจีนขณะนั้น ภายใต้การนำของนายพล เจียงไคเช็ค พรรคก๊กมินตั๋ง และอีกฝ่ายหนึ่งก็คือฝ่ายคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ เหมาเจ๋อตง ทั้งสองฝ่ายต่างมีกำลังทหารของตนเองและสู้รบกันเพื่อแย่งชิงประชาชนและอำนาจ การปกครองประเทศจีน ฝ่ายของนายพลเจียงไคเช็คมีกำลังทหารส่วนหนึ่งเรียกว่ากองพลหน่วยที่ 93 ได้ปฏิบัติการอยู่แถบคุนหมิง มณฑลยูนาน ทั้งสองฝ่ายต่างรบสู้กันอย่างดุเดือด และในที่สุดฝ่ายคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง ก็เป็นผู้ชนะพรรคก๊กมินตั๋งจึงได้ถอยหนีไปอยู่เกาะไต้หวัน และนายพลเจียงไคเช็คก็ได้เป็นประธานาธิบดีของไต้หวันในเวลาต่อมา
กอง พลที่ 93 อพยพติดตามไปไต้หวันไม่ทัน หรือโดนเจียงไคเช็คทิ้งก็ไม่อาจทราบได้ จึงตั้งกองกำลังอยู่ที่ยูนาน จากนั้นก็ถูกกองทัพจีนคอมมิวนิสต์คุกคามอย่างหนักจึงต้องสู้ไปพลางถอยไปพลาง สุดท้ายก็ถอยไปเข้าเขตของพม่าตอนบนพม่าก็ไม่ยอมเพราะถือว่าเป็นการรุกล้ำ อธิปไตยจึงส่งกำลังมาต่อสู้เพื่อพลักดันให้ออกจากพม่าสู้หลายครั้ง แม้ว่าพม่าจะเป็นฝ่ายรุก กองพล 93 เป็นฝ่ายถอย แต่สุดท้ายก็พลักดันออกจากพม่าไม่สำเร็จ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทยด้วย เพราะมีกองกำลังบางส่วนที่ถอยเข้ามาในเขตรอยต่อของไทยกับพม่า เช่นบริเวณดอนตุง ดอยแม่สลอง เป็นต้น
ใน ที่สุดพม่าก็เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว สหประชาชาติได้เปิดประชุมและได้กำหนดตัวแทน 4 ฝ่าย เพื่อทำการอพยบทหารกองพล 93และครอบครัวไปที่ประเทศไต้หวัน สำหรับตัวแทนทั้ง 4 ฝ่าย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ไทย พม่า และรัฐบาลจีนคณะชาติ ( ไต้หวัน ) สหประชาชาติได้ให้ทำการอพยบกองพล 93 ไปไต้หวัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ถึง พฤษภาคม ค.ศ.2497 รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยจำนวนผู้อพยพมีประมาณ 12,000 คนซึ่งการอพยพดังกล่าวรัฐบาลไต้หวันได้ส่งเครื่องบินมารับที่ อำเภอท่าฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นรัฐาลไต้หวันก็ไม่รับผู้อพยพเพิ่ม
สำหรับ การอพยพของกองกำลังที่ 93 มาจากจีนนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นกองทหารอพยบตามมาด้วย ทั้งนี้เพราะชาวบ้านเหล่านั้นไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของจีน คอมมิวนิสต์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำทางทหารของกองพลที่ 93 คือ นายพลหลี่มี่เป็นที่นับถือของชาวบ้านในเป็นอย่างมาก ดังนั้นกองพล 93 จึงประกอบไปด้วยทหารของกองพลเอง ชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา และกองกำลังต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายกันไปเพราะถูก คอมมิวนิสต์คุกคาม เข้ามารวมตัวอยู่ด้วยกัน เช่น นายพลหลี่เหวินฝาน ได้นำกองกำลังอาสาสมัครป้องกันหมู่บ้านเข้ามาร่วมกับนายพลหลี่มี่ด้วย การอพยพเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยนั้น กระจายอยู่ตามแนวชายแดนต่าง ๆ คือ อำเภอแม่อาย อำเภอแม่จันอำเภอแม่สรวย อำเภอพาน (จังหวัดเชียงราย) อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่และเทือกเขาบางส่วนในเขตจังหวัดน่าน
ใน ช่วงที่ไต้หวันทำการอพยพชาวกองพลที่ 93 ไปสู่ประเทศไต้หวันนั้น ได้มีชาวไร่ชาวนาบางส่วนที่มากับพวกทหารของกองพลที่ 93 ไม่ได้อพยพไปด้วย กลับตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไทย ทั้งนี้เพราะหลายคนมีครอบครัวที่นี่ หลายคนเกิดที่นี่ และคิดว่าตนเองแท้จริงไม่ได้เป็นทหารของกองพลที่ 93 การไปไต้หวันเหมือนกับเป็นส่วนเกินและต้องไปเริ่มต้นใหม่ และหลายคนรักที่จะอยู่ประเทศไทย
ช่วงนั้นได้มีขบวน การผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาในประเทศไทย และชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่ชอบคอมมิวนิสต์ ประกอบกับได้รับการฝึกอบรมแบบทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกตามแบบของโรงเรียนนายร้อยหวังผู่ จึงมีความพร้อมที่จะทำการรบและป้องกันตนเอง รัฐบาลจอมพลถนอมในขณะนั้นได้ทำการติดต่อชาวบ้านเหล่านี้ให้อยู่ที่เมืองไทย เพื่อร่วมกันต่อต้านผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วย จึงปักหลักอยู่ต่อที่ประเทศไทย
รัฐบาล ไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจากับไต้หวันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับชาวจีนอพยพ ที่ยังเหลืออยู่ในเมืองไทย รัฐบาลไต้หวันได้สรุปว่ากลุ่มชาวจีนดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล ไทย รัฐบาลไทยจึงได้สั่งให้กลุ่มชาวจีนที่อพยพอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ และ เชียงราย
เพื่อความสะดวกในการควบคุมผู้อพยพ รัฐบาลไทยจึงตั้งให้กองบัญชาการที่ดอยแม่สลอง กองบัญชาการทหารสูงสุดนำโดย พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เสธฯ บ.ก.ทหารสูงสุด และ พล.ท. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองเสธฯ เป็นผู้ดูแล โดยประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด
มีผู้นำที่มีชื่ออยู่สองคน คือ นายพลหลี่เหวินฝาน และ พันเอกเฉินโหม่วซิว ได้เป็นผู้นำของชาวจีนที่เหลืออยู่ในเมืองไทย ขณะนั้นมีการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์เป็นอย่างมาก และเนื่องจากคอมมิวนิสต์ไม่ถูกกับชาวจีนที่อพยพ จึงมักสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ นา ๆเพื่อโยนความผิดให้กับชาวจีนกลุ่มนี้ เช่น ปล้นสะดม ฆ่าผู้นำชนกลุ่มน้อยเผ่าม้งที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลไทย โดยคนทั่วไปในขณะนั้นรู้จักชาวจีนกลุ่มนี้ในนามของกองพลที่ 93 แต่แล้วคนไทยก็รู้ว่าหลงกลพวกคอมมิวนิสต์เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ
หน่วยงานของจังหวัดได้รับการติดต่อขอเข้ามอบตัวจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่บ้านห้วยกว้าง ตำบล แซว อำเภอเชียงแสน ทำให้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2512 นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พ.ต.อ. ศรีเดช ภูมิประหมัน ผู้กำกับตำรวจภูธรเชียงราย นายทหารจากกองทัพภาคที่3 และคณะ รวมทั้งสิ้น 8 นายได้เดินทางเพื่อเข้าไปต้อนรับการกลับตัวกลับใจของกลุ่มผู้ก่อการร้ายดัง กล่าว การเดินทางไปครั้งนี้ผู้นำชาวจีนอพยพได้ทำการทักท้วงมิให้คณะของผู้ว่าเข้า ไปในเขตของคอมมิวนิสต์ เพราะรู้ว่าเป็นกลลวงแต่ทางคณะไม่ฟังคำทักท้วงจึงได้เดินทางเข้าไปในบริเวณ พื้นที่ที่ ผกค. ตกลงจะทำการมอบตัวแต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ทั้งคณะถูก ผกค. สังหารเกือบหมดเหลือรอดมาได้แต่เพียงนายอำเภอเมืองเชียงรายเพียงคนเดียว เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รัฐบาลไทยรู้ว่าคอมมิวนิสต์ร้ายแรงเพียงใด
เมื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นทางกองบัญชาการทหารสูงสุดได้มีคำสั่งให้ชาวจีนอพยพที่เคย ได้รับการฝึกแบบทหาร ออกช่วยปราบปรามโดยเข้าร่วมกับกองกำลังทหารและตำรวจ ซึงการปราบปรามผู้ก่อการร้ายใช้เวลายืดเยื้อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ไปจนถึง พ.ศ.2516 เหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจึ
เมื่อสิ้นสุดการปราบปรามผู้ก่อการร้ายสงบลงแล้ว รัฐบาลไทยก็ได้ให้กองกำลังจีนอพยพ(กองพล93)จัดตั้งเป็นหมู่บ้านยุทธการได้แก่ หมู่บ้านผาตั้ง หมู่บ้านแม่แอบ สำหรับ หมู่บ้านแม่สลอง เดิมที่เรียกว่า หมู่บ้านหินแตก จึงให้เปลี่ยนชื่อเป็น หมู่บ้านสันติคีรี โดย พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นผู้กำหนดชื่อหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2524 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ให้ชาวจีนอพยพจัดตั้งเป็นกองกำลังอาสาสมัครไทย จำนวน 4 กองร้อย ร่วมกับกองกำลังกองทัพภาคที่ 3 เพื่อออกกวาดล้างผู้ก่อการร้ายที่เขาค้อ และที่เขาหญ้า จังหวัดเพชรบูรณ์ ผลการกวาดล้างได้รับชัยชนะตามเป้าหมายที่รัฐบาลไทยกำหนด
ทาง รัฐบาลไทยมองเห็นความสำคัญและผลงานที่ได้กระทำต่อบ้านเมืองของกลุ่มชาวจีน อพยพหรือที่รู้จักในนามของกองพล 93 กองบัญชาการทหารสูงสุดจึงตั้งคณะกรรมการเพื่อแปลงสัญชาติให้เป็นคนไทย ในพ.ศ. 2514 , 2518 , 2520 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2521 โดยทางราชการจะออกบัตรประจำตัวชัวคราวให้กับนายทหารจีน(กองพล93) ใช้ในการออกจากเขตกำหนด(ดอยแม่สลอง) โดยใช้บัตร(ตามภาพ)แสดงแทนบัตรประชาชนไทย
หลังจากนั้นอีก 8 ปี จึงได้อนุมัติให้ทำบัตรประชาชนไทยถาวร แก่ชาวจีนอพยพ(กองพล93) เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2529
โดยออกให้กับครอบครัวของนายทหารก่อน จากนั้นจึงออกให้ประชาชนจีนที่ติดตามกองทัพมานั้นเป็นลำดับไป
สำหรับ บัตรประจำตัวนายทหารจีน(กองพล93) ที่ทางราชการออกให้ก่อนหน้านั้น(ตามภาพ) ทางราชการได้เรียกกลับคืน โดยเปลี่ยนกับบัตรประชาชนไทยถาวรในเวลาเดียวกันนั้น
เมื่อ เสร็จสิ้นภารกิจ กองทัพภาคที่ 3 จึงได้มอบอำนาจการปกครองหมู่บ้านอดีตทหารจีน(กองพล93)บางหมู่บ้านให้กับ กระทรวงมหาดไทย ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น หมู่บ้านสันติคีรี ( ดอยแม่สลอง ) เป็นหมู่ที่ 18 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ตาม ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ชาวจีนอพยพ(กองพล 93) เพิ่งจะได้รับอนุญาตให้มีบัตรประชาชนไทยถาวรได้ในปี พ.ศ.2529 (2514-2521 เป็นช่วงของการอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทย)
โรงเรียน นายร้อยหว่างฟู่ ไม่ใช่มีแต่นักเรียนที่เป็นชาวจีนเท่านั้น แต่มีคนไทยเข้ารับการศึกษาด้วย(ตามภาพ เป็นคนไทยแท้ ๆ บ้านอยู่บางกอกน้อย ธนบุรี) จึงเป็นการสะดวกในสืบค้นข้อมูลกรณีของบิดานายสนธิ ลิ้มทองกุล
ดังนั้น เราสามารถที่จะพิจารณา วิเคราะห์จากหลักฐาน ข้างต้น จึงสามารถสรุปได้ดังนี้ ว่า
1. กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างว่าบิดาเป็นนายทหารกองร้อยหว่างฟู่ สังกัดกองพล93
จากรายงานพบว่า บิดาของนายสนธิ ได้ " หลบหนีจากกองพล93 (หนีทหาร)"ก่อน พ.ศ.2514 ซึ่งเป็นระยะก่อนที่รัฐบาลไทย จะมีคำสั่งอนุญาตให้กองพล93 แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ นั่นหมายถึง ซึ่งบิดาของนายสนธิ จึงเป็นเพียงคนจีนหลบหนีเข้า เมืองอย่างผิดกฏหมาย จึงไม่ได้รับสิทธิในการแปลงสัญชาติเป็นไทย เช่นบุคคลที่อยู่ในกองพล93 ตามคำสั่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด (เพราะหนีทหารไปก่อนหน้านั้น จึงไม่ปรากฏหลักฐานการได้สัญชาติ เช่นผู้อื่นที่สังกัดกองพล93 ในระยะเวลาดังกล่าวโดยสิ้นเชิง)
2. เมื่อบิดาของนายสนธิ ไม่ได้สัญชาติไทย มีฐานะทางกฏหมายเป็นผู้กระทำความผิด ฐานเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง แต่เหตุใดนายสนธิ ซึ่งเป็นบุตร จึงมีสัญชาติไทย
3. ตามบัตรประชาชน ซึ่งหลักฐานปรากฏตามหมายจับ(ดูภาพในวงกลมสีแดง) ระบุว่า นายสนธิ " เชื้อชาติไทย" คำว่า " เชื้อชาติ " หมายถึง " ผู้ที่เกิดในประเทศ " แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า " นายสนธิ เกิดปี พ.ศ.2490 " ซึ่ง เป็นระยะเวลาก่อนที่กองพล 93 จะรบกับกองทัพปลดแอกของเหมาเจอตุง และก่อนที่กองพล93 จะพ่ายแพ้และหลบหนีเข้ามายังเมืองเชียงตุงของพม่า และก่อนเวลาที่รัฐบาลไทยจะรับกองพล93 เข้ามาตั้งหมู่บ้านเป็นกันชนคอมมิวนิสต์
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า " นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่เชื้อชาติไทย " แน่นอน
4. ใน ระยะช่วงเวลาดังกล่าว (พ.ศ.2514-252 ผู้ที่อยู่ฐานชายแดนแถบพม่า จะทราบดีว่าการเดินทางระหว่างเชียงราย มาลำปาง ก็กินเวลาเป็นวัน ๆ เพราะถนนไม่ดี(สายเอเซียยังไม่สร้าง...นั่งรถกันงี้ขี้เป็นเลือด..เรื่อง จริง เพราะไม่มีเบาะมีแต่กระดานไม้) ไม่ต้องกล่าวถึงจังหวัดสุโขทัย ซึ่งอยู่ห่างไกลกับพื้นที่ตั้งของจังหวัดเชียงรายซึ่งกองพล93อยู่(คิดในด้าน ดีไว้ก่อน) จึงมีคำถามว่า นายวิเชียร บิดาของนายสนธิ มามีภรรยาที่สุโขทัยได้อย่างไร ?
ฉะนั้น มื่อ เทียบตามระยะเวลาจากบัตรประชาชนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ วันเวลาที่ทางราชการ อนุมัติให้ผู้ที่อยู่ในปกครองของกองพล93 แปลงสัญชาติได้นั้น(2514) นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะบรรลุนิติภาวะแล้ว และมีอายุ 24 ปี
หากอนุมานว่าเป็นเช่นนั้น จุดที่เป็นสิ่งสังเกตุสำคัญคือ " จะเป็นได้เพียงแค่ สัญชาติไทย ไม่ใช่ เชื้อชาติไทย "
:::: ข้อพิรุธ ::::
นาย สนธิ เกิดก่อนที่นายวิเชียร ดาของตนซึ่งอยู่ที่เมืองจีน จะพบกับแม่ของตน ซึ่งอยู่ที่ประเทศไทยจังหวัดสุโขทัย(กรณีหากว่าแม่มีสัญชาติไทย) เพราะกองพล 93 เข้าประเทศไทยปี 2504 นั่นหมายถึงบิดาของนายสนธิ มาพบและแต่งงานกับมารดานายสนธิ จึงจะตั้งท้องและคลอดเป็นนายสนธิได้ ก็ต้องเป็นปี 2505 (ตามหลักฐานปรากฏว่าปี2504...นายสนธิอายุได้ 14 ปีแล้ว ...จึงเป็นไปไม่ได้ว่า นายสนธิ จะเกิดก่อนพ่อแม่แต่งงานกัน) ตกลง นายสนธิ เกิดจากใคร ...รูกระบอกไม้..???!!
นายพลเจียงไคเชค เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ (ไม่ใช่พ่อนายสนธิ) _________________________
เมื่อ คำนวณนับจากปีเกิดนายสนธิ (พ.ศ.249 ก็ยังเป็นระยะเวลาก่อนที่เจียงไคเชค จะตั้งกองพล93 รบกับกองทัพเหมาเซตุง ซึ่งเป็น พ.ศ.2492 นั่นหมายถึง นายสนธิมีอายุได้ 2 ขวบแล้ว......
คำ ถาม ณ เวลานี้คือ มารดาของนายสนธิ เป็นใคร ? นายสนธิ เกิดที่ไหน ? เมื่อไร ? และได้ " เชื้อชาติไทย" และ " สัญชาติไทย " มาได้อย่างไร ?
ในชั้นต้นสรุปได้ว่า เอกสารบัตรประจำตัวประชาชน เป็นของปลอมแน่นอน
ดัง นั้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปลุกระดมชาวไทยออกไปก่อการชุมนุม ยึด ทำลายทรัพย์สิน จนถึงขั้นใช้กำลังอาวุธปะทะกัน โดยอ้างว่า " กู้ชาติ " จึงเป็นไปไม่ได้
เพราะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้มีสัญชาติไทย หรือ เชื้อชาติไทย โดยสถานะทางกฏหมาย ปรากฏตามหลักฐานหมายจับ(ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ รับรองแล้ว)
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ณ เวลาปัจจุบัน สถานะทางกฏหมาย เท่ากับเป็น " บุคคลไร้สัญชาติ "
.... การกระทำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงมีลักษณะไม่ผิดกับว่า " นาย สนธิฯ เป็นนักท่องเที่ยว เข้ามาในประเทศไทย หรือ กะเหรี่ยงหลบหนีเข้าเมือง แล้วมาปลุกระดมให้ประชาชนเจ้าของประเทศเกิดความแตกแยกทางความคิด แบ่งฝ่ายใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกัน โดยอ้างคำว่า " กู้ชาติ " ...!! เป็นเครื่องบังหน้าเพื่อก่อความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง
เมื่อเทียบลักษณะความผิดที่ปรากฏทั้งหลักฐานและพยานเชิงประจักษ์แล้ว การกระทำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าข่าย " จารชน " ซึ่งประชาชนไทยมีสิทธิ " ยิงทิ้ง " หรือ " จับตาย " ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย (ตามระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗) ทั้งยังเป็นการช่วยทางราชการอีกด้วย
ใน ส่วนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ เจ้าพนักงานตำรวจ สามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องใช้หมายจับ โทษของ " จารชน " มีสถานเดียวคือ " ประหาร " โดยไม่ต้องขึ้นศาลอีกด้วย(เป็นกฏหมายสากล International Law )
:::: หมายเหตุ ::: ข้อมูล เชิงลึก ในกรณีอาชีพของบิดานายสนธิซึ่งหนีราชการทหาร แต่กลับมีเงินตั้งโรงพิมพ์(เขาเอาเงินมาจากไหน...ประกอบอาชีพอะไรจึงร่ำรวย และเหตุใดจึงถูกฆ่าล้างครัวที่กรุงเทพฯ) ที่เหลือ จะนำมาเสนอให้ทราบต่อไปในโอกาสหน้า.. .......................................
จำได้ว่า สนธิลิ้ม เขามี passport เป็นของจีนไต้หวันด้วย? สงสัยอยู่ว่า ทำไม สนธิ ถึงได้รับ passport สองประเทศ มีทั้งประเทศไทย และ ประเทศจีนไต้หวัน
ตาม หมายจับบอกว่า เป็นเชื้อชาติ ไทย สัญชาติไทย แต่ถ้าได้รับ passport จากประเทศไต้หวัน เขาจะเป็นคนต่างด้าว ที่ประเทศไหน? การได้รับ passport นั้น แสดงว่า เขาเป็นบุคคลในสัญชาติของประเทศนั้น หรืออาศัยว่า พ่อเป็นคนจีนไต้หวัน ถ้าเขาได้รับ passport จากไต้หวัน จะมีเชื้อชาติไทย ได้อย่างไร ก็ควรจะเป็นคนต่างด้าว ถือ passport จีนไต้หวัน ใช่ไหม?
จากคุณ |
:
อดิศร1
|
เขียนเมื่อ |
:
28 พ.ค. 55 09:24:25
A:125.26.217.128 X:
|
|
|
|